นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยถึงกรณีที่มีผู้ประกอบการขนส่งและบุคคลบางกลุ่ม นำรถแท็กซี่สิ้นอายุการใช้งานแล้วมารับจ้างรับ-ส่งผู้โดยสาร ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และทำให้เกิดปัญหาการร้องเรียนถึงคุณภาพการให้บริการที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการเข้มงวดตรวจสอบรถแท็กซี่สิ้นอายุการใช้งานโดยเฉพาะในเขตรอบนอกกรุงเทพมหานคร, ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง และเขตปริมณฑล เช่น รังสิต นนทบุรี นครปฐม
โดยจัดเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง หากพบการฝ่าฝืนใช้รถแท็กซี่สิ้นอายุมารับจ้าง ดำเนินการถอดยึดคืนแผ่นป้ายทะเบียนรถแท็กซี่ทันที ทั้งยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 5 (10) เปรียบเทียบปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนกรณีตรวจสอบพบว่าเป็นรถที่แจ้งเปลี่ยนประเภทเป็นรถส่วนบุคคล แต่ลักลอบนำมารับจ้างรับ-ส่งผู้โดยสารจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 21 เปรียบเทียบปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท สำหรับผลการจับกุมรถแท็กซี่สิ้นอายุการใช้งาน และดำเนินการถอดยึดคืนแผ่นป้ายทะเบียน ตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 ถึงปัจจุบัน พบการฝ่าฝืนจำนวนทั้งสิ้น 360 คัน กรมการขนส่งทางบกสั่งทุกหน่วยดำเนินการตรวจสอบเข้มข้นและบังคับใช้กฎหมายขั้นสูงสุดเด็ดขาด พร้อมขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เข้มงวดตรวจสอบและจับกุมรถแท็กซี่สิ้นอายุการใช้งานดังกล่าวด้วย เนื่องจากกฎหมายกำหนดอายุการใช้งานของรถแท็กซี่มีระยะเวลาไม่เกิน 9 ปี นับแต่วันจดทะเบียนครั้งแรกเท่านั้น เมื่อครบอายุการใช้งานแล้วต้องรีบส่งคืนแผ่นป้ายทะเบียนและใบคู่มือจดทะเบียนรถเพื่อแจ้งระงับทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ครบอายุการใช้งาน ถอดอุปกรณ์ส่วนควบของรถแท็กซี่ เช่น โป๊ะไฟ มิเตอร์ และห้ามนำไปใช้รับจ้างรับ-ส่งผู้โดยสารโดยเด็ดขาด
ทั้งนี้ หากต้องการใช้รถเพื่อการส่วนตัว ต้องแจ้งเปลี่ยนประเภทจดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลโดยห้ามนำมารับจ้างเช่นกัน เพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนที่ใช้บริการรถแท็กซี่ในการเดินทางให้ได้รับบริการที่ดีและปลอดภัย