เคาะแล้ว กก.คำนวณค่าเสียหายทางแพ่ง กรมอุทยานฯ สรุปเสือดำตายต้อง จ่าย 12 ล้าน

กก.คำนวณค่าเสียหายทางแพ่งสรุปแล้ว เสือดำตาย จ่าย 12 ล้าน

วันที่ 26 มีนาคม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ได้ลงนามแต่งตั้ง คณะกรรมการพิจารณาคิดคำนวณค่าเสียหายทางแพ่ง กรณีนายเปรมชัย กรรณสูตร กับพวก ร่วมกันล่าสัตว์ป่า ประกอบด้วย 1.นายจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เป็นประธาน โดยมี นส.กาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า นายเพ็ญวิชญ์ ศรีชัย ผู้อำนวยการกองนิติการ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ นายศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการด้านอนุรักษ์สัตว์ป่า นส.ดาราพร ไชยรัตน์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ นายสัตวแพทย์(นสพ.)ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์ชำนาญการ เป็นกรรมการ และนายสมปอง ทองสีเข้ม นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้ ได้รวบรวมเอกสาร หลักฐาน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาความเสียหาย กรณีนายเปรมชัย และพวกรวม 4 คน ร่วมกันล่าสัตว์ป่า ประกอบด้วย เสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา และหมูป่า

นายจงคล้าย กล่าวว่า ในที่ประชุมได้พิจารณาข้อมูลนิเวศของเสือดำ พบว่า เสือดำจะมีอายุสูงสุดประมาณ 18 ปี ค่าเฉลี่ยอายุเสือดำคือ 12 ปี โดยที่ เสือดำเพศเมีย เมื่อมีอายุประมาณ 2.5-3 ปี จะเริ่มผสมพันธุ์ได้ โดยที่เสือดำตัวเมีย 1 ตัว ในวงจรชีวิตหนึ่งนั้น จะให้ลูกได้ประมาณ 8 ตัว โดยที่เสือดำตัวที่นายเปรมชัย และพวก ล่านั้น เป็นเสือดำเพศเมีย อายุประมาณ 3-5 ปี ราคา ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพื่อนำเสือดำปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ 1 ตัว ราคาประมาณ 2,550,000 บาท โดยอ้างอิงเปรียบเทียบราคากับโครงการเพาะพันธุ์ และอนุรักษ์พันธุ์กรรมเสือโคร่ง เพื่อคืนสู่ถิ่นกำเนิดในธรรมชาติ บริเวณพื้นที่กลุ่มป่าตะวันตก กลุ่มป่าแก่งกระจาน และกลุ่มป่าอนุรักษ์อื่นๆ ประจำปีงบประมาณ 2558 สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง จ.ราชบุรี ทั้งนี้ พบว่า การปล่อยสัตว์ป่าคือสู่ธรรมชาติของกรมอุทยานฯมีอัตรารอดตายประมาณ 20% โดยที่ คิดมูลค่าตั้งแต่เสือดำตัวเล็กๆ การฝึก ค่าอาหาร ยารักษาโรค เป็นเวลา 5 ปี กระทั่งสามารถปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้ มีการสรุปความเสียหายของเสือดำในการปล่อยสู่ธรรมชาติรวมทั้งสิ้น 12,750,000 บาท

รองอธิบดีกรมอุทยานฯกล่าวว่า ส่วนไก่ฟ้าหลังเทา มีราคาค่าใช้จ่าย ในการดำเนินโครงการเพื่อนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติตัวละ ประมาณ 12,612 บาท โดยอ้างอิงเปรียบเทียบราคากับโครงการเพาะและขยายพันธุ์ไก่ฟ้าหลังขาว เพื่อการเพาะพันธุ์และปล่อยสู่ธรรมชาติ ประจำปีงบประมาณ 2558 สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าดอยตุง จ.เชียงราย ซึ่งอัตรารอดตายของไก่ฟ้าที่ปล่อยคืนสู่ป่าอยู่ที่ 50% รวมมูลค่าความเสียหายของไก่ฟ้าหลังเทาทั้งสิ้น 25,224 บาท ส่วนมูลค่าความเสียหายของหมูป่านั้น คิดจาก หมูป่า 1 ตัวในท้องตลาดราคาประมาณ 22,500 บาท โดยคิดที่น้ำหนักหมูป่า 1 ตัวประมาณ 150 กิโลกรัม ราคาเนื้อหมูป่ากิโลกรัมละ 150 บาท จึงรวมมูลค่าความเสียหายทางแพ่งในคดีของนายเปรมชัยและพวกทั้งสิ้น 12,797,724 บาท โดยค่าเสียหายดังกล่าวนี้ยังไม่รวมค่าเสียหายทางระบบนิเวศน์ ของสัตว์ป่าทั้ง 3 ชนิดแต่อย่างใด เนื่องจากเรื่องดังกล่าวยังไม่มีผลงานวิจัยทางวิชาการรองรับ

เมื่อถามว่า ในเมื่อไม่มีงานวิจัยเรื่องค่าเสียหายทางระบบนิเวศน์ แสดงว่า จะไม่สามารถเรียกค่าเสียหายกรณีนี้จากนายเปรมชัย และพวกได้ ใช่หรือไม่ นายจงคล้าย กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมอุทยานไม่เคยมีงานวิจัยเรื่องนี้ จึงยังไม่สามารถเรียกร้องในส่วนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ก็จะต้องเซ็ตทีมงาน เพื่อทำเรื่องนี้แล้ว โดยจะเอาสัตว์ตัวที่มีความเสี่ยงว่าจะถูกคุกคามมากที่สุด ว่าเมื่อสัตว์พวกนี้ถูกล่าแล้วจะเกิดผลกระทบ มีค่าความเสียหายทางระบบนิเวศน์อย่างไรมีมูลค่าเท่าใด สัตว์ที่จะต้องศึกษา คือ หมี เสือ ช้าง เก้ง กวาง ไก่ฟ้าทุกชนิด เป็นต้น

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในอดีต กรมอุทยานฯเคยมีการฟ้องร้องเรื่องชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ป่า 10 ไร่ โดยกรมอุทยานฯฟ้องแพ่ง มูลค่า 10 ล้านบาท แต่ศาลยกฟ้อง โดยมีการตั้งคำถามกันว่า ตัวเลขดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร จับต้องได้หรือไม่ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นคิดกันอย่างไร เป็นที่มาของการที่กรมอุทยานฯต้องไปทำวิจัยเก็บตัวอย่างจากพื้นที่ต่างๆนำมาประเมินมูลค่าความเสียหายกรณีการบุกรุกพื้นที่ป่า เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 แสนบาท ต่อไร่ เป็นค่ามาตรฐาน

“มีหลายฝ่าย ทั้งเอ็นจีโอ และองค์กรต่างๆตั้งคำถามกับเราว่า ทำไมเสือดำราคาถูกมาก ทำไม ไม่เรียกไปสัก 300 ล้าน หรือ 1,000 ล้าน ผมอยากจะเรียนว่า อันนี้เป็นเรื่อง หลักเกณฑ์ ที่มีงานวิชาการรองรับ เราใช้หลักเกณฑ์นี้กับคนทุกคนที่ทำผิด ไม่ได้ใช้กับนายเปรมชัยและพวกเท่านั้น ซึ่งการที่เราเรียกความเสียหายจากการที่เสือดำตัวหนึ่งถูกล่า และฆ่าตาย ในราคา 12 ล้าน ก็ไม่ใช่น้อยเลย”นายชัยวัฒน์ กล่าว

 

ที่มา มติชนออนไลน์