ปัญญาชน นักวิชาการ สื่อรุ่นใหญ่ อาลัย นิธิ เอียวศรีวงศ์

นิธิ เอียวศรีวงศ์

หลากวงการร่วมอาลัย ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิด นักเขียน และนักประวัติศาสตร์ไทย

วันที่ 7 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิด นักเขียน นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของไทยเสียชีวิตแล้วในวันนี้ เวลา 11.47 น. หลังล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด มีบุคคลจากแวดวงต่าง ๆ ทั้ง ปัญญาชน นักวิชาการ นักข่าวรุ่นใหญ่ ต่างแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ ศ.ดร.นิธิ เป็นจำนวนมาก “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวม ดังนี้

นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ได้แต่งบทกลอน อาลัย นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิด นักเขียน นักประวัติศาสตร์ ลงในเว็บไซต์เครือมติชน 

 

“ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” นักคิด นักเขียน และเจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks

“ความเป็นปัญญาชนของคนชื่อนิธิ”

ADVERTISMENT

คนทั่วไปอาจรู้จักอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในฐานะอาจารย์ นักคิด นักเขียน บ้างก็กล่าวขานว่าอาจารย์นิธิเป็นปัญญาชนหมายเลขหนึ่งของไทยในช่วงเวลาหนึ่ง ปัญญาชนนั้นเป็นอาชีพที่แปลกคล้ายกับกวี ดังที่อังคาร กัลยาณพงศ์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า เงินเดือนก็ไม่มีให้ ลาออกก็ไม่ได้ กระนั้น ก็ยังคงมีคนไม่อยากให้ใครได้เป็น

และถึงอยากให้เป็น ก็ใช่ว่าจะเป็นกันได้โดยง่าย แต่ผมเชื่อว่า ทั้งลูกศิษย์และมิตรรักที่มีโอกาสได้คบหาสมาคมกับอาจารย์นิธิ ยากที่จะปฏิเสธความเป็นปัญญาชนของอาจารย์ นอกจาก “ปัญญา” แล้ว ผมคิดว่ามีคุณสมบัติสำคัญหลายประการที่ทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นปัญญาชน และอาจารย์นิธิที่ผมรู้จัก มีคุณสมบัติเหล่านั้นอย่างครบถ้วน

คุณสมบัติข้อแรกคือ “ความกล้าหาญทางจริยธรรม” คำนี้เป็นคำที่จำกัดความได้ยาก หากเพราะมันคือการยืนหยัดในหลักการอันถูกต้องที่ตนเองเชื่อมั่นอย่างไม่หวั่นไหว ไม่ว่าสถานการณ์และกระแสภายนอกจะเป็นอย่างไร คนผู้มีความกล้าหาญทางจริยธรรมจะยังคงยืนยันในหลักการของตนเองอยู่เสมอ แม้ในบางครั้งอาจจะต้องแลกด้วยความนิยม ตำแหน่งหน้าที่ หรือแม้แต่อนาคตของตนเอง

ภิญโญ - อ.นิธิ
ภาพจากเฟซบุ๊ก openbooks

เมื่อครั้งที่ผมทำรายการ “ตอบโจทย์” ตอน “สถาบันพระมหากษัตริย์” และถูกกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง ผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งออกมาสนับสนุนประเด็นนั้นในเวลานี้ ต่างพากันหลบลี้หนีหน้า จำนวนหนึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทอดกฐินใหญ่

อาจารย์นิธิเป็นหนึ่งในน้อยคนที่คอยให้กำลังใจในวิถีของอาจารย์ ซึ่งคนทั่วไปอาจสัมผัสไม่ได้ แต่ผมรับสิ่งเหล่านั้นไว้ได้อย่างเต็มหัวใจ และทำให้มิตรภาพระหว่างอาจารย์กับผมงอกงามเสมอมา ในตลอดทศวรรษที่ผ่านมาของชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องมีวิธีคิดทางการเมืองที่ตรงกัน

ฉะนั้น การจะดูว่าใครมีความกล้าหาญทางจริยธรรมหรือไม่ จึงไม่ใช่การอ่านในสิ่งที่เขาเขียน การเรียนในสิ่งที่เขาสอน แต่ต้องดูตอนที่เขาตัดสินใจ ว่าจะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใด เมื่อภัยมาเยือนในเบื้องหน้า หลายเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ผมเห็นอาจารย์นิธิยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่สั่นไหวไปตามแรงลม ไม่ว่าลมจะแรงเท่าใดก็ตาม

และนี่คือคุณสมบัติอันเป็นหนึ่งในร้อย ที่น้อยคนนักจะดำรงตนอยู่ได้ แต่อาจารย์นิธิก็หยัดตรงได้อย่างสง่างาม ผู้ที่ติดตามข้อเขียนและคำพูดของอาจารย์ย่อมประจักษ์ในความกล้าหาญทางจริยธรรมนี้ โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องขยายความ แม้จะไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ก็ตามที

คุณสมบัติสำคัญข้อต่อไปคือ “การให้เกียรติผู้อื่น” ผมเข้าใจว่ามิตรสหายหรือคนที่มีโอกาสได้รู้จักกับอาจารย์คงไม่มีใครปฏิเสธความจริงข้อนี้ เมื่อพบปะกันซึ่งหน้าและในทางสาธารณะ อาจารย์นิธิจะเป็นคนที่ให้เกียรติผู้อื่นเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ด้อยกว่าทางโอกาส ทั้งทางสังคมและสถานะ

อาจารย์นิธิจะอ่อนโยนต่อคนกลุ่มนี้มากกว่าผู้มีอำนาจ และเมื่อมีโอกาสจะช่วยเหลือเกื้อกูลได้ อาจารย์นิธิจะไม่ลังเลใจ ที่จะใช้ความเป็นนักคิด นักเขียน และปัญญาชน ลงไปโอบอุ้มและโอบกอดคนเหล่านี้ ผมคิดว่าธรรมเนียมปฏิบัตินี้น่าจะมาจากฐานความคิดในการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน ซึ่งบางคนเรียกร้องต่อผู้อื่น แต่ไม่เคยกระทำ ในขณะที่คนอย่างอาจารย์นิธินั้น กระทำโดยไม่เคยเรียกร้อง

การที่อาจารย์นิธิยืนหยัดทะนง ขณะเดียวกันก็เคารพผู้อื่นได้นั้น ล้วนมาจากความเต็มจากข้างใน คนเราเมื่อเต็มข้างในแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหาสิ่งภายนอกมาเติม เพราะยิ่งเติม ก็ยิ่งไม่เต็ม นี่คือคุณสมบัติสำคัญอีกข้อในความเป็นปัญญาชนของอาจารย์นิธิ นั่นคือ “ความสันโดษ”

ในสถานภาพอย่างอาจารย์นิธินั้น เป็นการง่ายเหลือเกินที่จะเลือกรับผลประโยชน์ทั้งทางตรงทางอ้อม ทั้งจากวงการเมือง วงการธุรกิจ กระทั่งวงวิชาการ แต่ความเคารพในตนเองอย่างสูง ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็น ในสิ่งที่ตนเองมี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีชีวิตที่เรียบง่ายสมถะนั้น ทำให้อาจารย์นิธิไม่จำเป็นต้องประนีประนอมกับ “ศีล” ของการเป็นปัญญาชน ที่ผู้คนร่วมสมัยพากันละเมิดอย่างถ้วนหน้า

ภิญโญ อนิธิ
ภาพจากเฟซบุ๊ก openbooks

ในวัยชรา อาจารย์นิธิดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย งามสง่า ด้วยรายได้จากการเขียนหนังสือ ทุกครั้งที่อาจารย์เลี้ยงข้าวผมและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นที่ใด เราจึงเข้าใจว่า ไม่ใช่แค่อาหาร หากแต่เป็นน้ำใจและปัญญา ที่เราร่วมกินดื่มสนทนาอยู่บนโต๊ะอาหารนั้น

หลายปีที่ผ่านมา ผมและอาจารย์จึงมีข้อตกลงกันว่า เพื่อจะได้ไม่ต้องเกรงใจกันทั้งสองฝ่าย เราจะสลับกันเป็นเจ้าภาพคนละครั้ง เพราะสิ่งที่ให้ความสำราญ แท้จริงแล้วหาใช่อาหาร หากแต่คือ บทสนทนาบนโต๊ะอาหาร ซึ่งยากมากที่จะหาสิ่งใดมาทดแทนได้  และนี่คือ คุณสมบัติสำคัญอีกข้อหนึ่งในความเป็นปัญญาชนของอาจาย์นิธิ

นั่นคือเป็นคู่สนทนาที่หาตัวจับได้ยากมากในประเทศไทย การเป็นคู่สนทนาที่ดี เป็นคนละเรื่องกับการเป็นคนพูดมากอาจารย์นิธิไม่ใช่คนพูดมาก ออกจะเป็นคนพูดน้อยด้วยซ้ำไป แต่อาจารย์จะเป็นคนตั้งใจฟังมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรื่องที่อาจารย์อยากรู้ แต่ยังไม่รู้ หรือเป็นเรื่องใหม่ๆ ที่อาจารย์อยากจะทำความเข้าใจ แต่ยังไม่เข้าใจ

อาจารย์จะใช้การฟังเป็นเครื่องมือในการเรียน และใช้การตั้งคำถามเป็นประเด็นในการสอน คำถามของอาจารย์มักจะหย่อนมาถูกเวลา แม้จะมีเพียงไม่กี่ข้อกี่คำ แต่บางครั้ง เราต้องครุ่นคิดอย่างต่อเนื่อง แม้จะจบสิ้นมื้ออาหารนั้นไปแล้ว

คนทั่วไปอาจไม่ทราบว่าอาจารย์เป็นนักกิน นักกินในที่นี้มิใช่กินของแพง ร้านดัง หรือของแปลก แต่ความที่โตมาในวัฒนธรรมจีน อาจารย์จะมีความรู้และความชอบอาหารจีนเป็นพิเศษ และมักจะพยายามสรรหาร้านจีนใหม่ ๆ เพื่อใช้เป็นสถานที่สนทนาเสมอ ๆ

คุยเรื่องบ้านเมืองบ้าง วิจารณ์อาหารบ้าง จิบเบียร์เย็น ๆ สลับกันไป ง่าย ๆ แค่นี้ก็สร้างความรื่นรมย์ให้อาจารย์ได้ โดยไม่ต้องใช้ความบันเทิงราคาแพงอื่นใด นี่คืออีกสิ่งหนึ่งซึ่งอาจารย์มีให้ คือ “ไมตรีจิตและมิตรภาพ” คำนี้เขียนแล้วก็ดูไพเราะ แต่หากว่าเราไม่เคยนำมันออกมาใช้ มันก็เหมือนคำใหญ่ๆ ทั่วไป ที่คนพากันเรียกขานให้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่เคยได้สัมผัสมัน

คุณสมบัติสำคัญที่ปัญญาชนพึงมอบให้ผู้คนได้ คือ “ไมตรีจิตและมิตรภาพ” ซึ่งอาจารย์นิธิและครอบครัวมีให้กับผมและครอบครัวเสมอมา

ผมเดินทางมาเชียงใหม่อย่างสม่ำเสมอในช่วงทศวรรษหลัง เพราะกำลังวางแผนสร้างบ้านที่เชียงดาว อาจารย์นิธิก็กรุณาแวะมาเยี่ยมบ้านตั้งแต่เมื่อครั้งที่ดินยังเป็นป่า จนกระทั่งบ้านเสร็จในเบื้องต้น ช่วงก่อนปีใหม่ 2565 อาจารย์นิธิและพี่สุชาดาก็ได้ให้เกียรติมาเป็นแขกคู่แรกของบ้าน

อาจารย์ในวัย 80 ขับรถมาเองจากเชียงใหม่ พร้อมข้าวผัดร้อน ๆ ในหม้อและของขวัญขึ้นบ้านใหม่ เราสนทนากันอย่างออกรส ก่อนอาจารย์จะขอตัวกลับไปก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะทางไกล

หลังจากปีนั้น โควิดทำให้เราต้องห่างกันไป แต่ไมตรีจิตไม่เคยจางหาย เมื่อส่งส้มมงคลตรุษจีนไปให้ตอนต้นปีนี้ อาจารย์โทร.กลับมาหาด้วยตนเอง และนัดหมายกันว่า อาจารย์จะมาเยี่ยมเชียงดาวอีกครั้ง เมื่ออาจารย์ฟื้นจากอาการป่วยไข้

อาจารย์นิธิมักจะบอกว่า “ผมเป็นคนมีเพื่อนไม่มาก” และอาจารย์อนุมานว่า ผมเป็นคนมีเพื่อนมาก ซึ่งผมก็มักจะบอกกับอาจารย์ว่า ผมเองอาจจะรู้จักคนมาก แต่น่าจะมีเพื่อนน้อยพอ ๆ กับอาจารย์

แม้ว่าผมจะไม่เคยเขียนถึงมิตรภาพที่อาจารย์มอบให้ แต่ผมก็เข้าใจว่าอาจารย์ได้มอบมิตรภาพ คือความเป็นเพื่อน ให้ผมและครอบครัวเสมอมาโดยไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ และนี่มิใช่เพียงสิ่งที่ผู้คนโหยหา แต่เป็นสิ่งที่สังคมทั้งสังคมขาดไร้

ในชีวิตที่แสนสั้นและเปลี่ยวเหงาทางปัญญา การได้รับเกียรติมีอาจารย์นิธิเป็นเพื่อนสนทนานั้น นับเป็นวาสนาอย่างแท้จริง

และนี่คือสิ่งที่อาจารย์นิธิ ในฐานะปัญญาชน ได้มอบไว้ให้ ไม่ว่ากับลูกศิษย์ลูกหา นักอ่าน หรือเพื่อนต่างวัย ซึ่งอาจารย์นิธิมีอยู่มากมายทั่วประเทศ ไม่ได้ขาดไร้อย่างที่อาจารย์กล่าวไว้อย่างถ่อมตน

อาจารย์นิธิน่าจะเป็นเพื่อนสนทนาผ่านตัวอักษรที่ฉกาจฉกรรจ์ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่สยามร่วมสมัยเคยมีมา ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับอาจารย์หรือไม่

เมื่อผมได้รับทราบข่าวสารของอาจารย์ในวันนี้ ผมน้ำตาร่วง เศร้า ใจหายอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ไปค้นรูปเก่า ๆ และเขียนเล่าเรื่องราวบางส่วนของอาจารย์ให้คนรู้ ถ้าอาจารย์ยังอยู่ อาจารย์คงไม่อยากให้คนเขียนถึงตนเองมากนัก เพราะอาจารย์ตระหนักว่า ตนเองไม่ได้มีความสำคัญมากมาย ถึงขนาดที่จำเป็นต้องมีใครมาจัดงานวันเกิดให้ กระทั่งให้ใครมาเขียนถึงแม้ในวันตาย

นี่คือวิถีอันเรียบง่าย งามสง่า ของปัญญาชนผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ผู้ที่ดำรงตนเป็นเพื่อนมิตรต่อผู้ใกล้ชิดและสังคมอย่างจริงใจเสมอมา ผู้ที่เดินทางมาและจากลาอย่างแผ่วเบา ทิ้งไว้แต่ปัญญาและมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา ให้เราทุกคนได้แลเห็น

ภาพจากเฟซบุ๊ก openbooks

พวงทอง ภวัครพันธุ์  อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กราบลาอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ด้วยความเคารพรักและอาลัย เมื่อดิฉันเข้าเป็นนักศึกษา ป.ตรีเป็นช่วงเวลาที่งานวิชาการของ อ.นิธิกำลังหลั่งไหลสู่วงวิชาการจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเมืองไทยสมัยพระนารายณ์ (2523) ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา (2523) วัฒนธรรมกระฎุมพีกับวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ (2525)

ปากไก่และใบเรือ : รวมความเรียงว่าด้วยวรรณกรรม และประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์ (2527) ศรีรามเทพนคร : รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น / อาคม พัฒิยะ และนิธิ เอียวศรีวงศ์ (2527) การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี (2529) เป็นช่วงเวลาที่งานสัมมนาด้านประวัติศาตร์เฟื่องฟูอย่างยิ่ง

ชื่ออาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ถูกกล่าวขานถึงเสมอในแวดวงวิชาการสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

ดิฉันโตมากับการอ่านงานของอาจารย์นิธิก็ว่าได้ และเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้ดิฉันหันไปทำปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์  หลังจากนั้นดิฉันได้พบอาจารย์ในการสัมมนาของนักวิชาการกลุ่ม “จักรวาลวิทยา” ทุกปี แต่

ภาพจากเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan

ตอนนั้นดิฉันก็อ่อนทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายนั่งฟังอาจารย์คนอื่น ๆ พูดเสียมากกว่า

หลังรัฐประหาร 2549 ดิฉันเพิ่งย้ายกลับมาอยู่ไทย และต่อมามีโอกาสได้ทำกิจกรรมร่วมกับ อ.นิธิมากขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะมีประชาชนที่ถูกฟ้องร้องกล่าวโทษด้วยกฎหมายนี้พุ่งทะยานถึง 400-500 คน ในวันที่ 21-22 มีนาคม 2552 นักวิชาการกลุ่มหนึ่งจากจุฬาฯ มหิดล และธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันจัดเวทีสาธารณะเพื่อถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาของกฎหมายนี้

เราตั้งชื่องานว่า “หลากมิติกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จัดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ทั้งนี้ ถ้าดิฉันจำไม่ผิด ในช่วงเวลานั้นการถกเถียงเกี่ยวกับมาตรา 112 ถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่เว็บบอร์ดของฟ้าเดียวกันเป็นหลัก ยังไม่เคยมีการเปิดเวทีสาธารณะในมหาวิทยาลัย เพื่อถกเถียงปัญหานี้อย่างจริงจังเลย (ก่อนหน้านี้เคยมีการ

จัดวิจารณ์หนังสือ The King Never Smiles ของ Paul Handley ในงานประชุมนานาชาติ “ไทยศึกษา” แต่จัดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายความว่าสาธารณชนไทยไม่สามารถมีส่วนร่วมได้มากนัก) ในช่วงเวลานั้น มีนักวิชาการจำนวนไม่มากนักที่ยินดีจะร่วมอภิปรายเรื่องนี้ ดิฉันรับหน้าที่ติดต่อเชิญอาจารย์นิธิมาร่วมเวทีเสวนา แล้วก็ดีใจอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์รับปากในทันที จำได้ว่าในเวทีแรกนี้มี อ.เกษียร เตชะพีระ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ และ อ.ธงทอง จันทรางศุ ร่วมอภิปรายด้วย

หลังจากนั้นอาจารย์นิธิก็เข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับปัญหามาตรา 112 อย่างแข็งขัน โดยเฉพาะกิจกรรมของคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) (ปี 2555) ทุกครั้งที่ดิฉันติดต่อขอให้อาจารย์ช่วยงาน (ตั้งแต่ลงชื่อเป็นคนแรก ๆ ติดต่อคน อภิปราย) อาจารย์ตอบรับอย่างไม่ลังเล

หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันกับเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสทำงานและสังสรรค์เสวนา กินดื่ม เที่ยว กับอาจารย์นิธิ และคู่ชีวิตของอาจารย์ พี่สุชาดา จักรพิสุทธิ์มากขึ้น จนกลายเป็นกัลยาณมิตรกันก็ว่าได้ นอกเหนือจากความสุขจากการได้แลกเปลี่ยนความคิดความรู้ในเรื่องต่าง ๆ กันแล้ว ความสุขอีกประการหนึ่งคือการได้สัมผัสความเป็นมนุษย์ที่น่านับถืออย่างยิ่งของอาจารย์

อาจารย์นิธิเป็นผู้ใหญ่ที่ให้เกียรติคนอื่นเสมอ โดยไม่ถือเรื่องเพศสภาพและวัย อาจารย์ไม่นินทาว่าร้ายใครในเรื่องส่วนตัว แต่ยิ่งอาจารย์ให้เกียรติคนอื่นมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้พวกเราเคารพนับถืออาจารย์อย่างยิ่ง

อ.นิธิไม่ใช่ผู้ใหญ่แบบไทย ๆ ที่เราคุ้นเคยกัน ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ผูกขาดการพูดอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนผู้อ่อนอาวุโสมีหน้าที่ล้อมวงฟังเป็นหลัก พวกเราสามารถเถียงกับอาจารย์ได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ก็บอกได้ตรง ๆ ว่าไม่เห็นด้วย อาจารย์ไม่เคยชักสีหน้าใส่ และบ่อยครั้งอาจารย์ก็คล้อยตามข้อถกเถียงของพวกเรา

ภาพจากเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้ยินอาจารย์พูดตรง ๆ ว่า “ผมประเมินผิด” หนึ่งในเรื่องที่อาจารย์บอกกับเราก็คือ ประเมินนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะผิด หลังการสังหารคนเสื้อแดงปี 2553 อาจารย์จึงไม่ลังเลที่จะเรียกนายอภิสิทธิ์ว่า “นายกฯ 100 ศพ”

นอกจากนี้ หลังจากอาจารย์เคยเข้าร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปฯ ตามคำเชิญของนายอานันท์ ปันยารชุน (ตั้งโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์) อาจารย์ก็ยอมรับว่าคณะกรรมการนี้ล้มเหลวในการทำงาน และเสนอให้ยุบทันทีเมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภา (อาจารย์ไม่ได้สิทธิประโยชน์ใด ๆ จากการเข้าร่วมงานกับคณะกรรมการนี้)

สิ่งที่อาจารย์นิธิต่างกับนักวิชาการรุ่นใหญ่ของไทยจำนวนมากคือ – ยิ่งใหญ่ พวกเขายิ่งไม่กล้าวิจารณ์การเมืองอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งใหญ่ พวกเขายิ่งอยู่เป็น พวกเขามีเหตุผลสารพัดที่จะอยู่เป็น – แต่อาจารย์นิธิไม่ได้สนใจตำแหน่งลาภยศสรรเสริญในระบบราชการและระบบการเมือง แกจึงกล้าที่จะวิจารณ์สถาบันต่าง ๆ อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร

อาจารย์นิธิไม่ใช่คนที่แสวงหาอภิสิทธิ์ใด ๆ ในช่วงเวลาที่อาจารย์ป่วยอยู่นี้ มีคนยื่นมือเข้ามาพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ แต่อาจารย์ก็ปฏิเสธอภิสิทธิ์ดังกล่าว เช่น เมื่อมีนายแพทย์ใหญ่ท่านหนึ่งเห็นชื่ออาจารย์ในโรงพยาบาล ได้ติดต่อมาเองว่าในขณะนี้มียาใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีมาก แต่ราคาแพงมาก ยานี้อยู่นอกบัญชียา ไม่สามารถใช้สิทธิข้าราชการเบิกได้ แต่ถ้าแพทย์ใหญ่เซ็นรับรองให้ ก็สามารถเบิกได้ 50% อาจารย์ปฏิเสธความช่วยเหลือดังกล่าวด้วยเหตุผลว่า ถ้าแกรับก็เท่ากับว่าแกกำลังไปแย่งชิงเอาทรัพยากรจากเงินภาษีของประชาชนมาจากคนอื่นที่ต้องใช้เงินภาษีเช่นกัน

เมื่อมีคนเสนอว่าในขณะนี้ในประเทศไทย มีโครงการวิจัยโรคนี้ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันในไทยกับสหรัฐอเมริกา เขาสามารถนำอาจารย์เข้าร่วมโครงการนี้ได้ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสได้รับยาใหม่ๆ อาจารย์ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ชาวพุทธอย่างแกจะต้องพยายามวิ่งหนีความตาย

สำหรับดิฉัน การได้รู้จักอาจารย์นิธิถือเป็น privilege เป็นความงดงามหนึ่งที่บังเกิดแก่ชีวิตของดิฉัน แม้จะรู้ว่าชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยง แม้จะรับรู้เรื่องนี้มาสักพักใหญ่แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่อาจารย์จากไป ก็ใจหายเสียเหลือเกิน

พวกเราจะคิดถึงอาจารย์ไปอีกนาน … ไม่มีใครจะสามารถแทนที่นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ได้เลย ด้วยความเคารพรักและอาลัยอย่างถึงที่สุด

ภาพจากเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิช ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ผมขอร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักประวัติศาสตร์และนักคิดคนสำคัญของไทย ผมโชคดีที่มีโอกาสได้เรียนรู้มากมายจากท่าน ทั้งเรื่องที่มีความเห็นตรงกันโดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ ไปจนถึงเรื่องที่คิดแตกต่างกัน เช่น นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะนโยบายจำนำข้าว ที่ท่านเห็นต่างจากเพื่อนร่วมงานของผมแทบทุกคนในทีดีอาร์ไอ

ขอให้ดวงวิญญาณของอาจารย์ไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยครับ แม้ตัวท่านไม่อยู่แล้ว แต่งานวิชาการของท่านหลายชิ้นคงจะคงอยู่ต่อไปเป็นอมตะ

ภาพจากเฟซบุ๊ก Somkiat Tangkitvanich