
ตำรวจ สน.สุทธิสาร ขออนุมัติศาลออกหมายจับชายชาวเมียนมาวัย 19 มือฆ่าอดีตทูตโคเปนเฮเกนแล้ว ด้าน บก.น.2 เผย ผู้ต้องหาหลบหนีออกนอกประเทศแล้ว เตรียมประสานประเทศเพื่อนบ้านเร่งติดตามตัว
วันที่ 9 ตุลาคม 2566 จากกรณีการเสียชีวิตปริศนาของนายวิชิต (ขอสงวนนามสกุล) อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน ภายในบ้านพักหรูแห่งหนึ่ง แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ตามที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้นั้น
- ในหลวง พระราชินี เสด็จฯส่วนพระองค์ ทรงร่วมแข่งเรือใบ จ.ภูเก็ต
- เช็กที่นี่ เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนธันวาคม 2566 เงินเข้าวันไหน
- วิกฤตหรือไม่วิกฤต คำตอบผู้ว่าการ ธปท.
ข่าวสด รายงานว่า พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร ได้ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับที่ 3438/2566 นายไซ เมียต โม สัญชาติเมียนมา อายุ 19 ปี ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยก่อเหตุฆ่านายวิชิต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน ภายในบ้านของหมู่บ้านชื่อดังแห่งหนึ่ง แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
โดยมีการนำวัตถุพยานที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่พบศพและบริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุส่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเพิ่ม
พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้ตำรวจพร้อมด้วยชุดสืบสวนสอบสวนนครบาล 2 อยู่ระหว่างลงพื้นที่ตามเส้นทางหลบหนี เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี คาดว่ายังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย
ขณะที่มีรายงานข่าวแจ้งว่า ฝ่ายสืบสวน สน.สุทธิสาร พร้อมฝ่ายสืบสวน บก.น.2 และฝ่ายสืบสวน บก.สส.บช.น. ได้ไล่ติดตามกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบจนเห็นรูปพรรณสัณฐานของผู้ก่อเหตุดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นช่างทาสีภายในบ้านของผู้ตาย แต่ยังไม่ทราบว่ามีการติดต่อกับผู้เสียชีวิตช่องทางใด
แต่ทางฝ่ายสืบสวนคาดว่า ผู้เสียชีวิตเปิดประตูออกมาหาคนก่อเหตุ เนื่องจากในที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยงัดแงะประตูทางเข้าบ้าน และคาดว่าน่าจะลงมือก่อเหตุทันที เนื่องจากมีร่องรอยกระเซ็นของเลือดตั้งแต่รั้วบ้าน ไปถึงชั้น 2 คาดว่าผู้เสียชีวิตอาจดิ้นรนหนีตายจากชั้น 1 ไปจนถึงในห้องน้ำ ซึ่งภายในบ้านมีกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพไว้ได้อย่างชัดเจน
ผู้ต้องหาหลบหนีไปนอกประเทศแล้ว
ข่าวสด รายงานเพิ่มเติมว่า พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 ได้เดินทางมาประชุมติดตามความคืบหน้าของคดี โดยเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ขณะนี้ทางชุดสืบสวนได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ก่อเหตุเป็นชายชาวเมียนมาตั้งแต่เมื่อคืนวานนี้
จากการติดตามผู้ก่อเหตุพบว่า ได้เดินทางหลังจากก่อเหตุ ในวันที่ 28 กันยายน โดยเรียกรถแท็กซี่ไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มโดยใช้วิธีกดผ่าน iPad ของผู้เสียชีวิต ก่อนจะไปขึ้นรถโดยสารประจำทางมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงราย ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาชุดสืบสวนได้ตรวจสอบที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายแล้วพบว่า ได้เดินทางออกนอกประเทศไปช่วงเวลา 07.12 น.
สำหรับเส้นทางการหลบหนีหลังก่อเหตุ ผู้ต้องหาเดินออกมาจากบ้าน ผ่านบริเวณป้อมรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านแล้วไปเรียกรถแท็กซี่ ก่อนไปแวะกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม โดยโอนเงินผ่าน iPad ของผู้เสียชีวิต โดยแวะกดเงิน 2 แห่ง ก่อนไปซื้อตั๋วรถโดยสารประจำทาง โดยการซื้อตั๋วรถโดยสารครั้งแรกปรากฏว่ารถคันที่จะโดยสารไปเกิดเสีย จึงต้องรอรถโดยสารคันใหม่ในช่วงเย็น ทำให้เดินทางไปถึงจังหวัดเชียงรายในช่วงเช้า
ขณะที่การตรวจสอบยอดเงินในบัญชีของผู้เสียชีวิต ทราบว่ามีการกดโอนเงินจำนวน 22,000 บาท และจากการเอามือถือไปสแกนกดเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มอีกจำนวน 34,200 บาท
ซึ่งการประสานติดต่อกับทางการประเทศเพื่อนบ้านเพื่อที่จะนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีนั้น ภายหลังได้รับข้อมูลและหลักฐานจากตรวจคนเข้าเมืองว่าผู้ต้องหาหลบหนีออกไปก็จะส่งข้อมูลดังกล่าวรายงานต่อศาล เพื่อขอหมายแดงเพื่อประสานประเทศเพื่อนบ้านให้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุต่อไป
ส่วนผู้ต้องหามารู้จักกับผู้เสียชีวิตได้อย่างไรนั้น ตรวจสอบพบว่า มีการเข้า-ออกบ้านผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 วัน ก่อนก่อเหตุตั้งแต่วันที่ 25-27 กันยายน ตามพยานหลักฐานที่ตรวจพบ และจากการตรวจสอบย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ต้องหาและผู้เสียชีวิตจะออกจากบ้านไปช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. และจะกลับเข้ามาอีกครั้งในเวลา 19.00 น.
และในวันที่ 28 กันยายนวันเกิดเหตุ กลับเข้ามาประมาณ 21.00 น. ก่อนจะมีการทะเลาะกัน ซึ่งในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องหากับผู้เสียชีวิตจะต้องมีการสอบพยานแวดล้อมเพิ่มเติมอีกครั้ง เนื่องจากช่วงเวลาเกิดเหตุผู้เสียชีวิตพักอาศัยอยู่คนเดียว
เบื้องต้นจากการตรวจสอบทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตพบว่า ผู้ต้องหาได้นำเอาโทรศัพท์ 1 เครื่อง และไอแพด 1 เครื่องของผู้เสียชีวิตไปด้วย ส่วนทรัพย์อื่น ๆ ต้องรอตรวจสอบกับทางญาติเพื่อยืนยันอีกครั้ง โดยทางผู้บังคับบัญชาได้มีการสั่งการให้เร่งติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี โดยจะประสานกับทางการประเทศเพื่อนบ้านให้ช่วยเร่งติดตามอีกทางหนึ่ง และจากการตรวจสอบขณะนี้ยังยืนยันว่าผู้ก่อเหตุมีเพียงคนเดียว