ประชาชนแห่ลงชื่อนับหมื่น จี้ภาครัฐงดทำสัญญา ‘อิตาเลี่ยน-ไทย’

สืบเนื่องจากกรณีที่นายเปรมชัย กรรณสูตร และพรรคพวก ถูกจับกุมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ในข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และข้อหาอื่นๆ อีกรวม 9 ข้อหา โดยในการเข้าจับกุมนั้นเจ้าหน้าที่ได้พบทั้งอาวุธปืนซึ่งไว้ล่าสัตว์ และซากสัตว์ป่า อันได้แก่ ซากไก่ฟ้าหลังเทา ซากเก้ง และซากเสือดำ ซึ่งล้วนแต่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง จนเกิดกระแสสังคมต่อนต้านและเรียกร้องให้มีการรับผิดชอบ

ล่าสุดที่ www.change.org มีการรณรงค์ล่ารายชื่อขอให้ภาครัฐงดทำสัญญากับบริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย โดยระบุว่า การที่ “ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่” ผู้นี้ของบริษัท ถูกจับในข้อหาที่เกี่ยวกับคดีสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติแบบนี้ (ซึ่งเป็นการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม) ทางบริษัท มิได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อการกระทำของผู้บริหารรายนี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการตัดสินคดีก็ตาม และถึงแม้จะถูกตัดสินให้มีความผิดในภายหลังก็ตาม ซึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นการกระทำในทางส่วนตัว แต่หากพิจารณาในตรงประเด็นที่ว่า ในบรรษัทภิบาลของบริษัทเอง ก็ระบุให้เห็นว่าบริษัทและพนักงาน ผู้บริหาร ต้อง มีความรับผิดชอบต่อสังคม

แต่ท้ายสุดแล้ว เมื่อการกระทำที่เป็นความผิด ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม หรือต้องสงสัยว่ากระทำผิดในทำนองนี้ บริษัทกลับมิได้ดำเนินการลงโทษ หรือแสดงท่าทีใดๆ ที่ทำให้เห็นการเป็นบริษัทที่ใส่ใจสังคม เหมือนดั่งที่ระบุไว้ในธรรมาภิบาลบริษัทเกี่ยวกับกรณีนี้ จึงเป็นที่น่าเสียใจยิ่งที่บริษัทอิตาเลี่ยนไทย ไม่สามารถทำให้เกิดหลักธรรมาภิบาลในบริษัทได้

ดังนั้น เมื่อบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ได้ขาดไร้ซึ่งธรรมาภิบาลในการมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมแล้ว เราในฐานะประชาชนและผู้เสียภาษี จึงอยากแสดงจุดยืนและเรียกร้องให้ภาครัฐร่วมกันงดการจัดซื้อจัดจ้าง ทำสัญญา ทำธุรกิจกับบริษัทที่ขาดธรรมาภิบาล

เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า บริษัทอิตาเลี่ยนไทยได้รับสัมปทานก่อสร้างจากภาครัฐไปจำนวนมาก และแน่นอนว่าเงินที่ใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์นั้น คือเงินภาษีของเรา ประชาชน ทั้งในทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้กรณีนี้ เป็นกรณีตัวอย่างกับบริษัทที่เป็นคู่ค้ากับภาครัฐ ให้ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และให้คำนึงถึงความรับผิดต่อสังคม แต่มิใช่แค่ในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่อยากจะให้ภาครัฐสร้างบรรทัดฐานต่อธรรมาภิบาลกับบริษัทในทุกๆด้าน และให้สามารถบังคับใช้ได้จริง เพื่อเรา จะสามารถมั่นใจได้ว่า เงินภาษีของเรานั้นถูกนำไปพัฒนาประเทศได้อย่างคุ้มค่า

โดยแคมเปญดังกล่าวมีผู้ร่วมลงชื่อแล้วกว่า 15,199 คน (ยอด ณ เวลา 21.40 น. วันนี้)


ที่มา: มติชนออนไลน์