BITE SIZE : “ปลาหมอคางดำ” ระบาด สะเทือนสัตว์น้ำ-ระบบนิเวศ

Prachachat BITE SIZE
โดย พฤฒินันท์ สุดประเสริฐ

ปลาหมอคางดำ กำลังเป็นที่สนใจและเป็นที่ถกเถียงอย่างมาก ในฐานะสัตว์เอเลียนสปีชีส์ ที่กำลังสร้างผลกระทบอย่างมากให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ จนถึงระบบนิเวศ และภาครัฐต้องเร่งหาทางจัดการเพื่อลดความเสียหายจากปลาหมอคางดำ

ปลาหมอคางดำ น่ากลัวต่อระบบนิเวศแค่ไหน และการจัดการกับปลาหมอคางดำ จะเป็นอย่างไร

Prachachat BITE SIZE ชวนติดตามพร้อมกัน

รู้จัก “ปลาหมอคางดำ”

ปลาหมอคางดำ มีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับปลาหมอเทศ โดยเฉพาะในปลาระยะวัยอ่อน เมื่อโตเต็มวัยจะสังเกตได้ชัดขึ้น ขนาดโตเต็มวัย อาจมีขนาดลําตัวยาวถึง 8 นิ้ว หรือมากกว่า ส่วนการจำแนกเพศ เพศผู้จะมีสีดำบริเวณหัว และบริเวณแผ่นปิดเหงือกมากกว่าเพศเมีย

ปลาหมอคางดำ อาศัยได้ทุกแหล่งน้ำ อยู่ได้ทั้งน้ำจืด และชายฝั่งน้ำเค็ม ส่วนใหญ่พบอาศัยอยู่บริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อย ป่าชายเลน ทนความเค็มได้สูง และทนต่อการเปลี่ยนแปลงความเค็มในช่วงกว้าง นอกจากนี้ ยังพบปลาชนิดนี้ ในพื้นที่น้ำจืด แม่น้ำ และทะเลสาบน้ำจืด

อาหารของปลาหมอคางดำ กินทั้งพืช สัตว์ แพลงก์ตอน ลูกปลา ลูกหอยสองฝา ลูกกุ้งทะเล โดยเฉพาะกุ้งกุลาดำ กุ้งขาวแวนนาไม และกุ้งแชบ๊วย

ADVERTISMENT

ยิ่งไปกว่านั้น ปลาหมอคางดำ มีลำไส้ยาวกว่าลำตัวถึง 4 เท่า มีระบบย่อยอาหารที่ดี สามารถย่อยกุ้งได้ภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที ทำให้ปลาหมอคางดำมีความต้องการอาหารอยู่ตลอดเวลา

ส่วนการขยายพันธุ์ แม่ปลาหมอคางดำ 1 ตัว ให้ไข่ได้ประมาณ 50-300 ฟอง หรือมากกว่า ขึ้นกับขนาดของแม่ปลา การฟักไข่ของปลาหมอคางดำใช้เวลาฟักประมาณ 4-6 วัน พ่อปลาจะดูแลลูกปลาด้วยการอมไว้ในปากนานประมาณ 2-3 สัปดาห์

ADVERTISMENT

ปลาหมอคางดำ ระบาดในไทยเมื่อไร ?

สำหรับข้อมูลการนำเข้าปลาหมอคางดำ สำนักข่าวอิศรา เคยรายงานไว้ว่า มีการเริ่มนำเข้าครั้งแรก ปี 2549 โดยคณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพของกรมประมง (IBC) อนุญาตให้บริษัทเอกชน นำเข้าปลาหมอสีคางดำจากสาธารณรัฐกานา ทวีปแอฟริกา เพื่อนำมาปรับปรุงสายพันธุ์ปลานิลแบบมีเงื่อนไข

จากนั้นปี 2553 นำเข้าปลาหมอสีคางดำ จำนวน 2,000 ตัว มาวิจัยเพาะเลี้ยงในศูนย์ทดลอง ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ก่อนที่จะทยอยตายเกือบทั้งหมดภายใน 3 สัปดาห์

ปี 2555 พบการระบาดเป็นครั้งแรก ในพื้นที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

ก่อนที่ปี 2561 กรมประมง ออกประกาศห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยงเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง หรือเป็นผู้ซึ่งอธิบดีกรมประมงมอบหมาย ซึ่งมีปลา 3 สายพันธุ์ ได้แก่ 1.ปลาหมอสีคางดำ 2.ปลาหมอมายัน 3.ปลาหมอบัตเตอร์ พร้อมกำหนดโทษว่า ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษทางกฎหมาย จำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี 2555 เป็นต้นมา ยังมีรายงานข่าวพบการระบาดของปลาหมอคางดำเป็นระยะ จนในปี 2567 กลับมาพบการระบาดอีกครั้ง โดยตอนนี้พบการระบาดไปแล้ว 16 จังหวัด ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ไม่เว้นแม้แต่ กทม. พบการระบาดของปลาหมอคางดำแล้วเช่นกัน

ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้น ด้วยความที่ปลาหมอคางดำ เป็นสัตว์นักล่า มีความต้องการอาหารอยู่ตลอดเวลา บวกกับมีนิสัยดุร้าย มักแย่งอาหารสัตว์น้ำในพื้นที่ ทำให้ปลาท้องถิ่นลดลงอย่างรวดเร็ว และหากมีการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ ก็จะส่งผลกระทบต่อปลาที่เลี้ยงไว้

ย้อนดูวิธีจัดการ “เอเลียนสปีชีส์” ในอดีต

หลาย ๆ คนที่เพิ่งติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับปลาหมอคางดำ อาจสงสัยว่า เอเลียนสปีชีส์ ที่พูดกันบ่อย ๆ ตามหน้าสื่อ คืออะไร

คำว่า เอเลียนสปีชีส์ (Alien Species) หรือ สัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น คือ ชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ชนิดพันธุ์ท้องถิ่น แต่มันเดินทางจากถิ่นอื่นเข้ามาในถิ่นนั้นๆ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เป็นได้ทั้งสัตว์ พืช จุลินทรีย์ เชื้อรา

แต่เมื่อไหร่ที่มีการขยายพันธุ์ จนสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ถึงจะเรียกว่า สัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive Alien Species : IAS) ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์ที่อาจทำให้พันธุ์พื้นเมืองสูญพันธุ์ กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และปลาหมอคางดำ ก็เป็นหนึ่งในนั้น

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แบ่งหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจัดกลุ่มทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ที่ควรป้องกัน ควบคุม และกำจัดของประเทศไทย เป็น 4 กลุ่ม คือ

1. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว หมายถึง ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามาในประเทศไทยแล้ว และสามารถตั้งถิ่นฐานและมีการแพร่กระจายได้ในธรรมชาติ เป็นชนิดพันธุ์เด่นในสิ่งแวดล้อมใหม่ (dominant species) และเป็นชนิดพันธุ์ที่อาจทำให้ชนิดพันธุ์ท้องถิ่นหรือชนิดพันธุ์พื้นเมืองสูญพันธุ์ รวมไปถึงส่งผลคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพและก่อให้เกิดความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสุขอนามัยของมนุษย์

2. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีแนวโน้มรุกราน หมายถึง (1) ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีหลักฐานว่ามีการรุกรานในถิ่นอื่น ที่เข้ามาในประเทศไทยแล้ว และสามารถตั้งถิ่นฐาน และมีการแพร่กระจายได้ในธรรมชาติ จากการสำรวจและเฝ้าสังเกตพบว่าอาจแพร่ระบาดหากมีปัจจัยเกื้อหนุนหรือสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ (2) ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เคยรุกรานในอดีต ซึ่งสามารถควบคุมดูแลได้แล้ว

3. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีประวัติว่ารุกรานแล้วในประเทศอื่นแต่ยังไม่รุกรานในประเทศไทย หมายถึง ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามาในประเทศไทยแล้วมีหลักฐานว่ามีการรุกรานในประเทศอื่น

4. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ยังไม่เข้ามาในประเทศไทย หมายถึง ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีข้อมูลหรือหลักฐานว่าเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในประเทศอื่น ได้แก่ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นตามทะเบียน 100 ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานรุนแรงของโลก ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ห้ามนำเข้าตามกฎหมาย และชนิดพันธุ์ที่มีข้อมูลจากผลการศึกษาวิจัยว่าเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานในพื้นที่อื่น ๆ

หมายเหตุ: สำหรับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในทะเบียนรายการ 1, 2 และ 3 ที่ถูกระบุว่าเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สามารถส่งเสริมในเชิงเศรษฐกิจได้ แต่ต้องมีมาตรการป้องกันเฉพาะที่รัดกุมเพื่อมิให้เกิดการแพร่กระจายเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ นอกจากนี้สำหรับสัตว์น้ำต่างถิ่นใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ควรควบคุมหรือมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปล่อยสู่แหล่งน้ำตามธรรมชาติถึงแม้เป็นนอกพื้นที่อนุรักษ์ก็ตาม

ข้อมูลปี 2560 พบว่ามีพืชและสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว มากถึง 151 ชนิดพันธุ์ จากท้ังหมดที่ขึ้นทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่น 336 ชนิดพันธุ์

ตัวอย่างสัตว์-พืชชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว

  • นกเอี้ยงชวา
  • นกพิราบ
  • ปลาหางนกยูง
  • ธูปฤาษี
  • ผักกระฉูด
  • ผักตบชวา

ขณะที่มาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น มุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด การกำจัด การเฝ้าระวังและติดตามชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่พบว่ารุกรานแล้ว มีแนวโน้มรุกราน และชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานของโลกทั้งที่เข้ามาแล้วและยังไม่ได้เข้ามาในประเทศไทย ตามที่กำหนดไว้ในทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรป้องกัน ควบคุม กำจัด ของประเทศไทย

มีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบและหน่วยงานสนับสนุนรวม 35 หน่วยงาน เพื่อให้เกิดการดำเนินการตามมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม

กิจกรรมตามมาตรการป้องกัน ควบคุม และกาจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นจึงควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสานักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรขยายการดำเนินงานตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่แล้ว ให้ครอบคลุมกิจกรรมตามมาตรการนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในทางปฏิบัติ ประกอบด้วย มาตรการ 5 ด้าน ดังนี้

  • มาตรการที่ 1 การกำหนดนโยบาย แผน กฎหมาย และงบประมาณ สำหรับการบริหารจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
  • มาตรการที่ 2 การบริหารจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
  • มาตรการที่ 3 การเฝ้าระวังและติดตามชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
  • มาตรการที่ 4 การสนับสนุนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
  • มาตรการที่ 5 การเผยแพร่ สร้างความตระหนักและให้ความรู้ในเรื่องของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น

ลุยจัดการ “ปลาหมอคางดำ”

กลับมาที่การจัดการปลาหมอคางดำ จากสถานการณ์ปัจจุบันที่แพร่ระบาดแล้วใน 16 จังหวัด ทำให้ต้องหาทางจัดการปลาหมอคางดำที่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว

การจัดการที่เห็นกันจนชินตา คือ การจับปลาหมอคางดำ มาแปรรูปเป็นอาหาร ทอด เผา แกง สารพัดรูปแบบ จนถึงการปล่อยปลานักล่า อย่างปลากระพงขาว ไปกินลูกปลาหมอคางดำ เพื่อลดการขยายพันธุ์ และการประกาศรับซื้อปลาหมอคางดำ โดยสำนักงานประมงจังหวัด ประกาศรับซื้อที่ 8 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อขายต่อให้โรงงานปลาป่นไปทำประโยชน์ต่อ

ด้านคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ มีการประชุมเพื่อหาแนวทางการดำเนินการกับปลาหมอคางดำ โดยที่ประชุมมีมติให้รับซื้อในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม และเบื้องต้นจะใช้เงินจากกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เพื่อรับซื้อและนำไปทำปุ๋ยต่อไป

อีกสิ่งหนึ่งที่จะทำ คือ ปล่อยปลาหมอคางดำพิเศษ ซึ่งเมื่อผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำปกติ จะได้ลูกปลาหมอคางดำที่เป็นหมัน ไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อได้ โดยมีแผนปล่อยพันธุ์ปลาหมอคางดำพิเศษ ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทยอยปล่อยอย่างน้อย 250,000 ตัว ภายใน 15 เดือน จนถึงกันยายน 2568

คาดว่าสามารถเริ่มปล่อยพันธุ์ปลาได้อย่างช้าสุดในเดือนธันวาคม 2567 อย่างน้อย 50,000 ตัว
ส่วนความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับการกำจัดปลาหมอคางดำจากแหล่งน้ำธรรมชาติทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 กำจัดปลาหมอคางดำได้ทั้งสิ้น 623,370 กิโลกรัม

มองความเห็น จัดการปลาหมอคางดำ

ท่ามกลางไอเดีย และแนวทางในการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำที่กำลังแพร่ระบาดในตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำ ด้านการประมง ก็มีการตั้งข้อสังเกตถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในตอนนี้

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเลและรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เมื่อเอเลียนสปีชีส์เข้าไปอยู่ในธรรมชาติถึงระดับหนึ่งแล้ว การจัดการให้หมดจนไม่มีเหลือ เป็นเรื่องที่เป็นไปแทบไม่ได้ ต้องหาทางอยู่ร่วมกับปลาหมอคางดำ และพยายามลดผลกระทบให้มากที่สุด

ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว และผู้ร่วมก่อตั้ง ReReef อธิบายกับมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุว่า เมื่อมีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเข้ามา เราจะไม่ค่อยเห็นผลกระทบเท่าไหร่นัก  หรือถ้าไม่ใช่คนที่ประสบปัญหาโดยตรงจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่มีกฎหมายหรือนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
ลงเสียง พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าในอนาคต มีแนวโน้มที่ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นจะขยายตัวมากขึ้นในทุกภูมิภาค และจะมีปัญหาที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ที่นำเข้ามาเพาะพันธุ์ หรือเข้ามาผ่านการติดตามท้องเรือขนส่ง

นอกจากนี้ ยังมีปฏิสัมพันธ์อีกหลายอย่าง เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะยิ่งส่งเสริมประสิทธิภาพการรุกรานให้เกิดมากขึ้น

นายปัญญา โตกทอง คณะกรรมการลุ่มน้ำเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ให้สัมภาษณ์กับมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุว่า การระบาดของปลาหมอคางดำได้ส่งผลกระทบในทุกพื้นที่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลให้ในอนาคตมีแต่การกระจายพันธุ์ของปลาหมอคางดำอย่างเดียว และไม่เหลือทรัพยากรท้องถิ่นอีกเลย

อีกทั้งยังมองว่าการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความล่าช้า และไม่ตรงประเด็นจึงเกิดวิกฤต และเห็นด้วยว่าในแนวทางจัดการจำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบ หรือผู้ที่นำเข้า และนำผู้ที่อนุญาตให้มีการนำเข้าปลาหมอคางดำ เข้ามาอยู่ในกระบวนการการด้วย

ผลสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าปลาหมอคางดำ จะหายไปหมดหรือยังคงอยู่ในแหล่งน้ำของไทย แต่สิ่งที่ต้องติดตามต่อไป คือ การจัดการกับปลาหมอคางดำ เพื่อหยุดทุกความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ก่อนสายเกินไป

ติดตาม Prachachat BITE SIZE EP.64 ได้ที่ https://youtu.be/82Zn4U1FfY8

เข้าใจง่าย ได้ความรู้ ทุกสถานการณ์ข่าว กับ “Prachachat BITE SIZE” ทุกวันเสาร์ 11.00 น. ทุกช่องทางออนไลน์ของประชาชาติธุรกิจ