
รถไฟเชื่อมโขงเที่ยวปฐมฤกษ์ เดินทางระหว่างประเทศไทยสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกเชื่อมต่อการเดินทางของประชาชน นักท่องเที่ยวและขนส่งสินค้าระหว่างกันของสองประเทศ งานนี้แม้เพิ่งตัดโบแดง แต่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยวไทย ลาว และชาติอื่น ๆ
ปักหมุด Tourism Hub
โดย “สุรพงษ์ ปิยะโชติ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำกับดูแลระบบราง ไปรอรับนักท่องเที่ยวถึงประตูขบวนระบุว่า รถไฟเส้นทางนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชน และจะเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศตามนโยบายรัฐบาล เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็น Tourism Hub ที่สำคัญของโลก
ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย เพื่อช่วยดันภาคการท่องเที่ยวปี 2567 ไปสู่เป้าหมายสร้างรายได้ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ไม่น้อยกว่า 3 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจาก สปป.ลาว ยังเป็น 1 ใน 5 ของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีอัตราการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยสูงสุด และคาดว่าปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวจาก สปป.ลาว เดินทางเข้ามาไม่น้อยกว่า 977,000 คน สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 36,960 ล้านบาท ยิ่งเป็นการช่วยกระตุ้นเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจากภาคท่องเที่ยว
และถัดจากการเปิดรถไฟเส้นทางไทย-สปป.ลาว “รมช.สุรพงษ์” เครื่องร้อนจัด นั่งรถไฟลาว-จีน จากสถานีหลวงพระบางของ สปป.ลาว ไปยังสถานีบ่อหาน ที่ตั้งอยู่ในมณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านคมนาคมขนส่งระหว่างไทยและจีน
รวมถึงศึกษาแนวทางการอำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองทางรถไฟระหว่างลาวและจีน เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ในการรองรับการเดินทางข้ามพรมแดนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากการเปิดใช้ทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างไทย ลาว และจีน อย่างเต็มรูปแบบ
จอดป้ายคำสะหวาด 4 ขบวน
“รมช.สุรพงษ์” สรุปภาพรวมการเดินทางเส้นทางรถไฟ 3 ประเทศครั้งนี้ว่า จะนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับประเทศไทยผ่านทางรถไฟลาว-จีน ซึ่งจะช่วยให้การขนส่งสินค้าและการเดินทางระหว่างไทย ลาว และจีน มีความสะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต อันจะเป็นประโยชน์ต่อการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกันต่อไป
สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางเส้นทางรถไฟไทย-สปป.ลาว มีขบวนรถไฟให้บริการวันละ 4 ขบวน คือ ไปกลับระหว่างสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ระยะทาง 654 กิโลเมตร 2 ขบวน ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงครึ่ง และเส้นทางอุดรธานี-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) อีก 2 ขบวน โดยจะมีการตรวจเอกสารเข้าเมือง 2 จุด ที่สถานีรถไฟหนองคาย และสถานีรถไฟเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที
ขณะที่ค่าตั๋วให้บริการแบ่งเป็น 3 ราคา ประกอบด้วย 1.ตั๋วนั่งชั้นสาม พัดลม ราคา 281 บาท (มี 152 ที่นั่ง) 2.ตั๋วนั่งชั้นสอง ปรับอากาศราคา 574 บาท (มี 64 ที่นั่ง) และ 3.ตั๋วนั่งและนอนชั้นสองปรับอากาศ (มี 30 ที่นั่ง) โดยเตียงบนราคาอยู่ที่ 784 บาท ส่วนเตียงล่างราคา 874 บาท
ยกระดับร่วมมือไทย-ลาว
ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาระบบรางของไทย ในพื้นที่ภาคอีสานเส้นทางอื่น ๆ ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ เส้นทางบ้านไผ่-นครพนม และอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ตามแผนมีกำหนดแล้วเสร็จปี 2571
รวมทั้งเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขออนุมัติอีก 2 เส้นทาง คือ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี กำหนดแล้วเสร็จปี 2572 และโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงนครราชสีมา-หนองคาย กำหนดแล้วเสร็จปี 2573 โดยขณะนี้กำลังขอให้ฝ่าย สปป.ลาว พิจารณาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ
อีกทั้งมีโครงการอื่นๆ อาทิ โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (หนองคาย-เวียงจันทน์) เป็นอีกหนึ่งโครงการความร่วมมือที่สำคัญระหว่างสองประเทศ โครงการนี้ประกอบด้วยการก่อสร้างสะพานรถไฟขนาดทางมาตรฐานกว้าง 1.435 เมตร และทางขนาด 1 เมตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการสัญจรและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
ปัจจุบัน ร.ฟ.ท.อยู่ระหว่างการศึกษาออกแบบรายละเอียด และการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยฝ่ายไทยขอให้ สปป.ลาว อำนวยความสะดวกในการสำรวจและเก็บข้อมูลในพื้นที่ฝั่งลาว เพื่อให้การศึกษาโครงการให้ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ มีเป้าหมายกำหนดแล้วเสร็จในปี 2572 ล่าสุดที่ประชุมร่วมเมื่อ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา เห็นพ้องร่วมกันพัฒนาสะพานรถไฟแห่งที่สองข้ามแม่น้ำโขง
ด้านการขนส่งทางถนน จะมีการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน และการขนส่งผ่านแดนให้มีความราบรื่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ไทย และ สปป.ลาว เล็งกลับมาเปิดให้บริการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศ ในเส้นทางที่เหลืออีก 5 เส้นทาง จากทั้งหมด 13 เส้นทาง โดยขอให้ฝ่าย สปป.ลาว พิจารณาเส้นทาง “เชียงราย-แขวงบ่อแก้ว” และขยายไปยัง “หลวงน้ำทา” เป็นเส้นทางแรกอีกด้วย
โดยภาพรวมถือเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในอนาคต