
พลิกอ่านมาตรา 9, มาตรา 80 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ออกในสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โครงการ “ดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท” จะเดินต่อหรือพอแค่นี้
จนถึงเวลานี้ โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ยังจะเดินหน้าต่อหรือไม่ ยังไม่ชัดเจนจาก รัฐบาลของแพทองธาร ชินวัตร
ขณะที่มีการลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐไปแล้วมากกว่า 24 ล้านคน
จากความไม่ชัดเจนดังกล่าวทำให้ประชาชนที่ลงทะเบียนไปก่อนหน้าเริ่มไม่มั่นใจว่า ข้อมูลที่ตัวเองลงทะเบียนไว้ หากโครงการนี้ต้องยกเลิกหรือชะลอออกไป ข้อมูลส่วนตัวของเขาเหล่านั้นจะปลอดภัยหรือไม่
ส่วนอดีตรัฐมนตรีหลายคนที่คลุกคลีมากับเรื่องนี้โดยตรง ต่างโยนพรรคร่วมรัฐบาลใหม่เป็นคนตัดสิน-ตอบคำถาม ทั้ง ๆ ที่พรรคแกนนำก็พรรคเดิม พรรคร่วมรัฐบาลก็พรรคเดิม ผิดจากท่าทีก่อนหน้าถ้ายื่นไมค์ถามเรื่องดิจิทัลวอลเลต พร้อมตอบทันที
ขอปรึกษาพรรคร่วมรัฐบาล
ในวันแถลงเปิดใจ 18 สิงหาคม 2567 ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ก็ยังตอบไม่ชัด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นโยบายดิจิทัลวอลเลตจะยังเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะมีกระแสข่าวว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งให้ล้มโครงการดังกล่าว
น.ส.แพทองธารร้องโอ้… ก่อนตอบว่า จริง ๆ นายทักษิณไม่ได้สั่งให้ล้ม เพราะจริง ๆ แล้วนโยบายอะไรก็ตามเราต้องปรึกษากับพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
“ความตั้งใจการทำโครงการดิจิทัลวอลเลตคือการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศ แน่นอนว่าปีที่แล้วที่เราหาเสียงเลือกตั้งโดยใช้โครงการดิจิทัลวอลเลตนั้น เป็นโครงการที่เราศึกษาและสังเคราะห์นโยบายมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย สภาพเศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนแปลงไป เราจะต้องศึกษาและรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม
แน่นอนว่าต้องอยู่ในกรอบพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อไป แต่รายละเอียดต้องมีความชัดเจน รวมถึงต้องรับฟังความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้น ความตั้งใจนี้ยังต้องอยู่แน่นอน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ข้อกังวลจากแบงก์ชาติ
ต้องไม่ลืมว่า โครงการดิจิทัลวอลเลต ถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย ที่เด่นชัดที่สุดคือท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่าน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 ผู้ว่าการ ธปท.ได้ส่งจดหมายถึงประธานคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเลต แจ้งถึงสาเหตุไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 พร้อมระบุถึงประเด็นข้อคิดเห็นและข้อกังวล เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการหลายประเด็น ทั้งประเด็นเกี่ยวกับระบบเติมเงินผ่าน Digital Wallet เรื่องของสารพัดความเสี่ยง
โดยนายเศรษฐพุฒิระบุว่า หากโครงการดำเนินการ ต้องแจ้งให้ ธปท.ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนเริ่มให้บริการ เนื่องจากการเชื่อมต่อ Payment Platform กับโมบายแอปพลิเคชั่น เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบ IT อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกระทบลูกค้าและการให้บริการเป็นวงกว้าง
โดย ธปท.จะสอบทานผลการประเมินและผลทดสอบความเสี่ยงด้านต่าง ๆ และอาจขอข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบความเชื่อมโยงกับระบบอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมโดยเฉพาะในกรณีที่ Open Loop อาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการชำระเงินโดยรวม
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรชี้แจงกลไกการลดความเสี่ยงต่อการรั่วไหล หรือทุจริตในขั้นตอนต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รวมถึงมีมาตรการในการติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีกระบวนการที่รัดกุมเพียงพอที่จะป้องกันปัญหาต่าง ๆ เช่น การซื้อขายสินค้าที่ผิดเงื่อนไขของโครงการ และการขายลดสิทธิ (Discount) ระหว่างประชาชนและร้านค้า (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
ขณะที่นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาฯคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลแล้วสามารถยกเลิกโครงการดังกล่าวได้หรือไม่ และเงินที่กู้มาจะทำอย่างไรว่า ต้องถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เมื่อแถลงต่อรัฐสภาเป็นนโยบายแล้ว สามารถยกเลิกได้หรือไม่ นายปกรณ์ระบุ ผมว่า “โดยหลักแล้วมันควรจะหยุดลง” และไม่ต้องกลับไปถามความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว
หรือแม้แต่นายวิษณุ เครืองาม มือหนึ่งด้านกฎหมายของประเทศ ยังตอบว่า “เป็นเรื่องรัฐบาลชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็ม จะหยุดก็ได้ จะเปลี่ยนแปลงก็ได้ จะเดินต่อก็ได้ เพราะเป็นคนละรัฐบาลกัน”
ย้อนอ่าน พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
เมื่อย้อนกลับไปอ่าน พระราชบัญญัติ วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งออกในสมัยที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น กฎหมายหรือพระราชบัญญัติฉบับนี้ ระบุเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ค่อนข้างชัดว่า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพและมั่นคงอย่างยั่งยืนตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกรอบการดําเนินการทางการคลังและงบประมาณของรัฐ การกําหนดวินัยทางการคลังด้านรายได้และรายจ่ายทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ การบริหารทรัพย์สินของรัฐและเงินคงคลังและการบริหารหนี้สาธารณะ
เมื่อเจาะเข้าไปดูรายมาตรา พบว่ามาตรา 9 ระบุว่า คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด
ในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ
ส่วนมาตรา 80 ระบุว่าการตรวจเงินแผ่นดินต้องกระทําด้วยความสุจริต รอบคอบ โปร่งใส เที่ยงธรรม กล้าหาญ ปราศจากอคติ และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล โดยให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
ในกรณีมีการกระทําผิดวินัยการเงินการคลังของรัฐตามที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ การสั่งลงโทษทางปกครองให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
ดังนั้นถ้าหากโครงการนี้ไม่มีการปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลง หรือลดขนาดของโครงการลง หรือไม่รัดกุมเพียงพอ หรือมุ่งมั่นจะเดินหน้าต่อในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
หากมี “นักร้อง” ไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกับหลายคดีก่อนหน้า
งานนี้…
คลิกอ่านฉบับเต็ม : พระราชบัญญัติ วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561