ชัชชาติ หนุนรัฐซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืน ลุย 20 บาทตลอดสาย

ชัชชาติ กทม. ค่ารถไฟฟ้า รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ หนุนรัฐบาลซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืน ผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เชื่อเป็นประโยชน์กับประชาชน

วันที่ 5 กันยายน 2567 จากกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวที Dinner Talk Vision for Thailand เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ถึงนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของพรรคเพื่อไทย โดยยืนยันว่ายังคงเดินหน้านโยบายดังกล่าว แต่อาจจะต้องเวนคืนรถไฟฟ้าที่เอกชนบริหาร กลับมาเป็นของรัฐ และจ้างเอกชนมาบริหาร เพื่อทำให้ภาครัฐสามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารเองนั้น

ล่าสุด มติชน รายงานว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ส่วนตัวมีความยินดีที่รัฐบาลจะซื้อรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งการให้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดูแลคนเดียว สามารถเกลี่ยรายได้ในรถไฟฟ้าแต่ละสายได้ ทำให้ดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายได้ ซึ่งอาจจะมีหลายผู้ประกอบการให้บริการ เช่น BTS BEM ร.ฟ.ท. เป็นต้น แต่ปัญหาตอนนี้แต่ละสายมีสัมปทานอยู่ ซึ่งการซื้อคืนสัมปทานก็มีความซับซ้อน

นายชัชชาติกล่าวว่า เป็นเหตุผลหนึ่งที่ กทม.ไม่ทำรถไฟฟ้าเพิ่มในสายสีเงิน และสายสีเทา จึงโอนคืนให้ รฟม.เป็นคนดำเนินการ กทม.มีรายจ่ายประจำปี ประมาณ 90,000 ล้านบาทต่อปี แต่ต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ปีละ 8,000 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 10% ของงบประมาณรายจ่าย แต่ถ้าหลังหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 คงมีรายได้จากค่าโดยสารเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง กทม.ไม่ได้หวง ถ้าวิธีไหนเกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด คือทางที่ดีที่สุด

”ส่วนตัวเชื่อว่า รฟม.มีการบริหารจัดการ มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญ อย่าง กทม.ไม่มีผู้เชี่ยวชาญรถไฟฟ้า ส่วนใหญ่ต้องไปจ้างหน่วยงานภายนอก ถ้าสามารถรวมเป็นหนึ่งได้ รัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งหมด เอาค่าโดยสารมาเฉลี่ยกัน ก็น่าจะเป็นระบบที่ดีสำหรับคนกรุงเทพฯ“ นายชัชชาติกล่าว

ก่อนหน้านี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เรื่องนี้จะต้องมีการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อนำเงินไปเวนคืนรถไฟฟ้าของเอกชนที่ยังไม่หมดสัญญาสัมปทาน ซึ่งทางกระทรวงการคลังจะต้องไปศึกษารายละเอียด ส่วนแหล่งเงินในกองทุนนี้ ก็จะมาจากกระทรวงการคลัง

ADVERTISMENT

“การเวนคืนรถไฟฟ้าเอกชนมาบริหาร แนวทางคือ ต้องตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อซื้อคืนรถไฟฟ้ากลับมาจากเอกชน โดยไม่ต้องรอหมดสัญญา ส่วนที่มาแหล่งเงินจะมาจากกระทรวงการคลัง และจะเป็นคนละกองทุนกับกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ที่จะมาชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารรถไฟฟ้า“

นอกจากนี้ กระทรวงได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด หรือ  Congestion charge ซึ่งจะจัดเก็บส่วนของรถที่จะเข้ามาในพื้นที่ที่มีโครงข่ายรถไฟฟ้าสมบูรณ์ และมีการจราจรติดขัด อาทิ รัชดาภิเษก พารากอน และสุขุมวิท

ADVERTISMENT

โดยมาตรการนี้หลายประเทศดำเนินการแล้ว เช่น ลอนดอน เมื่อพื้นที่ใดมีระบบรถไฟฟ้าเดินทางสะดวกแล้ว ถ้ารถจะเข้าไปช่วงนั้นก็ต้องเก็บค่าธรรมเนียม ขณะที่กรุงเทพฯ ตอนนี้รถไฟฟ้าหลายสายกลางเมืองก็ครบแล้ว ดังนั้นต้องเริ่มศึกษามาตรการนี้ ว่าจะเริ่มทำตรงไหน เก็บค่าธรรมเนียมเท่าไหร่

อ.วีระ เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทำยอดหนี้เพิ่ม

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ปรับลด 7,824,398,500 บาท วาระที่ 2 เป็นวันที่สาม

มติชน รายงานว่า นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ที่สงวนความเห็น มีการกล่าวถึงนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในช่วงหนึ่งของการอภิปราย ระบุว่า

“รายการชำระหนี้คงค้างของรัฐบาลที่มีต่อรัฐวิสาหกิจที่ให้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ซึ่งต่อไปในอนาคตรัฐบาลมีโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ยอดหนี้จะเพิ่มมาอีกก้อน เพราะต้องมีการชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป และต้องมีการตั้งกองทุน หรือจัดระบบให้รัฐวิสาหกิจใดออกเงินไปแทนก่อน เหมือนที่ทำกับสถาบันการเงินอยู่ในขณะนี้ มันจะมาอีหรอบเดียวกัน ถ้าเราใช้โอกาสนี้ขยายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ”

ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณฯ ชี้แจงว่า โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของกระทรวงคมนาคมในส่วนกรุงเทพฯนั้น เป็นภารกิจที่ต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐใหม่

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพึ่งพาการชดเชย และการใช้เงินของรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะกลไกนี้ต้องผ่าน พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และกองทุนต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลไกที่เราสามารถกำหนดได้ เพื่อลดภาระที่จะเกิดกับงบประมาณรัฐให้ได้มากที่สุด และสุดท้ายก็คงจะต้องนำเข้าสภาเพื่อถกเถียงและหาข้อสรุปร่วมกัน