
คพ.ชี้แจงการเกิดเหตุฉุกเฉินน้ำเน่าเสียไหลลงทะเลจำนวนมากบริเวณชายหาดบางเสร่ จ.ชลบุรี น้ำเสียไม่ได้มาจากระบบบำบัดน้ำเสียของเทศบาล ต.บางเสร่ แต่เกิดจากตะกอนเลนที่เน่าเสียของชุมชนและสถานประกอบการบริเวณชายทะเล เมื่อมีฝนตกหนักมีการชะล้างไหลลงท่อของระบบรวบรวมน้ำเสีย และไหลลงสู่ทะเล ทางเทศบาลได้ทำความสะอาด ลอกท่อระบายน้ำพร้อมวางแผนขยายระบบรวบรวมน้ำเสียแล้ว ในส่วนของข้อกังวลเรื่องปัญหามลพิษที่อาจจะเกิดขึ้นจากการพัฒนาภายใต้พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มี พ.ร.บ.พร้อมยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ในการจัดการปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม
วันที่ 26 พฤษภาคม นายเชาวน์ นกอยู่ รักษาการผู้เชี่ยวชาญด้านจัดการคุณภาพน้ำ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า ตั้งแต่ได้รับแจ้งว่ามีน้ำเน่าเสียไหลลงทะเลจำนวนมาก ที่ชายหาดบางเสร่หมู่ 2 ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จนทำให้น้ำทะเลตลอดแนวชายหาด กลายเป็นสีดำกระจายในวงกว้างประมาณ 100 เมตร ส่งกลิ่นเน่าเหม็น และยังมีสัตว์ทะเลลอยตายจำนวนมาก ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนไม่กล้าลงเล่นน้ำ เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อผิวหนัง คพ.ได้ประสานสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชลบุรี สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (สสภ. 13 ชลบุรี) และองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) สาขาเทศบาล ต.บางเสร่ เพื่อติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ผลสรุปว่าบ่อพักน้ำเสียทะลักไหลลงชายหาดบางเสร่นั้น น้ำเสียไม่ได้มาจากระบบบำบัดน้ำเสียของเทศบาล ต.บางเสร่ ที่ อจน. เข้าไปบริหารจัดการอยู่ และทาง อจน.ได้ดำเนินการตรวจวัดค่าคุณภาพน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียแล้ว ซึ่งไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
นายเชาน์กล่าวว่า จากการร่วมประชุมหารือเพื่อหาสาเหตุและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นของ สสภ. 13 อจน. สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ชลบุรี สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 (ชลบุรี) ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เทศบาล ต.บางเสร่ และปลัดอำเภอสัตหีบ สรุปได้ว่าน้ำทะเลที่เป็นสีดำ เกิดจากตะกอนเลนที่เน่าเสีย ซึ่งพบมากบริเวณที่มีความหนาแน่นของชุมชนและสถานประกอบการบริเวณชายทะเล โดยตะกอนเลนดังกล่าวเกิดจากการสะสมของของเสียที่ปล่อยลงสู่ทะเลเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้มีน้ำฝนปริมาณมากไหลลงท่อของระบบรวบรวมน้ำเสีย ซึ่งรับน้ำเสียจากอาคารบ้านเรือน ทำให้เกิดการล้นของน้ำเสียและน้ำฝนออกจากบ่อรวบรวมน้ำเสียไหลลงสู่ทะเล เกิดเป็นตะกอนเพิ่มขึ้น และได้เกิดภาวะน้ำตาย ทำให้น้ำทะเลไม่พัดพาตะกอนเลนที่เสียออกนอกชายฝั่ง แต่กลับพัดพาตะกอนเลนที่เสียในชุมชนชายทะเลให้ขยายวงกว้างขึ้นมาถึงบริเวณชายหาดบางเสร่
นายเชาวน์กล่าวว่า การดำเนินงานแก้ไขปัญหา เทศบาล ต.บางเสร่ ได้ดำเนินการทำความสะอาด ลอกท่อระบายน้ำในชุมชนชายทะเล ลอกเลนบริเวณชายหาดบางเสร่ และรณรงค์ให้ชุมชน สถานประกอบการบริเวณชายทะเล มีความรู้ความเข้าใจและบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่ทะเล รวมทั้งตรวจสอบการจัดการน้ำเสียแหล่งกำเนิดมลพิษ ตามมาตรา 80 ส่วนแผนการแก้ไขในระยะยาวเทศบาลตำบลบางเสร่จะวางแผน การขยายระบบรวบรวมน้ำเสียและการต่อเชื่อมท่อน้ำเสียในพื้นที่ชุมชนและสถานประกอบการริมทะเลเข้าระบบบำบัดน้ำเสียของเทศบาลตำบลบางเสร่ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของระบบบำบัดน้ำเสีย ทั้งนี้ สสภ.13 ชลบุรี ได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลที่มีสีดำส่งให้กับสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 (ระยอง) ดำเนินการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ โดยเทียบกับน้ำทะเลเขตโรงเรียนจุมพลทหารเรือและจะรายงานผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำทะเลเพื่อทราบต่อไป
นายเชาวน์กล่าวต่อ ในส่วนของข้อกังวลเรื่องปัญหามลพิษที่อาจจะเกิดขึ้นจากการพัฒนาภายใต้พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 7 ให้รัฐจัดให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมกันดําเนินการพัฒนาระบบการควบคุมและขจัดมลภาวะ ทั้งนี้ ต้องดําเนินการให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย มั่นคง และประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก และมาตรา 30 หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดทํารายละเอียดแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่ประกอบด้วยระบบการควบคุมและขจัดมลภาวะ ผู้ลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียมลพิษและของเสียอันตราย รวมทั้ง คพ.ได้จัดทำยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2560 – 2564 ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เพื่อจะนำมาเป็นกรอบนโยบายในการจัดการปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน นอกจากนี้ คพ.ได้จัดตั้งศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง ทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษ พร้อมให้คำปรึกษาและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งประสานและเชื่อมโยงระบบข้อมูลสารเคมีอันตราย และมลพิษในสิ่งแวดล้อมให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้มีความยั่งยืนต่อไป
ที่มา : มติชนออนไลน์