ถือเป็นข่าวฮือฮาสำหรับแฟนบอลและแวดวงธุรกิจในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “JAS” คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และเอฟเอคัพรายใหม่ แต่เพียงผู้เดียวใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา และลาว อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดสด รีรัน และไฮไลต์ ในฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป แทนที่ “ทรู วิชั่นส์”
วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” พาย้อนรอยตำนาน 2 ผู้ชนะการประมูลจาก กสทช.
สำหรับ JAS ได้สร้างความฮือฮาระดับทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวงการโทรคมนาคมไทยเมื่อปี 2558 หลังชนะการประมูลคลื่นความถี่ 4G บนคลื่น 900 MHz ด้วยข้อเสนอที่สูงมากถึง 75,654 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา JAS ไม่สามารถจัดหาเงินตามกำหนดการชำระของ กสทช.ได้
ทำให้ต้องยกเลิกใบอนุญาตและเสียสิทธิ์การใช้งานคลื่นความถี่ดังกล่าวไป ซึ่งต่อมา กสทช.ได้นำคลื่นความถี่นั้นออกประมูลใหม่ และบริษัทที่ชนะในการประมูลครั้งต่อมาคือ Advanced Info Service (AIS) ซึ่งเข้ามารับช่วงต่อและเปิดให้บริการในที่สุด
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2559 มติชนรายงาน ซึ่งเป็นวันครบกำหนดที่ กสทช.ให้บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ในเครือ JAS ต้องชำระค่าประมูล 4G งวดแรกจำนวน 8,040 ล้านบาท และวงเงินค้ำประกันอีก 6.76 หมื่นล้านบาท ปรากฏว่าเมื่อหลังเวลา 16.30 น.ซึ่งผ่านพ้นเส้นตายไปแล้ว ทาง JAS ก็ยังไม่ได้นำมาส่งมอบกับทาง กสทช.แต่อย่างใด ส่งผลให้ JAS ต้องถูกยึดหลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงิน 644 ล้านบาททันที รวมถึงมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการจัดการประมูลรอบใหม่อีกด้วย
ขณะเดียวกัน การที่ JAS ทิ้งใบอนุญาต 4G ในครั้งนั้น ทำให้มีผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัทเอง รวมถึงส่งผลกระทบหลายประการต่อทั้งอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยและนโยบายของสำนักงาน กสทช. โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
1.กระทบต่อนโยบายจัดสรรคลื่นความถี่ของ กสทช.
การทิ้งใบอนุญาตโดย JAS ทำให้ กสทช.ต้องจัดประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz ใหม่ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการจัดสรรคลื่น และทำให้ไทยเสียโอกาสในการพัฒนาระบบ 4G ในเวลาที่ตลาดต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว
2.ต้นทุนและความเสียหายทางการเงิน
การจัดการประมูลใหม่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มขึ้น เป็นต้นทุนที่ไม่คาดคิดและก่อให้เกิดภาระต่อ กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเกิดความเสี่ยงในด้านการเงินต่ออุตสาหกรรม โดยบริษัทอื่น ๆ ต้องคำนึงถึงต้นทุนเพิ่มเติมหากจะประมูลคลื่นในรอบใหม่
3.ผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ
ผู้บริโภคเสียโอกาสในการเข้าถึงบริการ 4G บนคลื่น 900 MHz ที่ครอบคลุมและเสถียร เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการให้บริการอินเทอร์เน็ตบนมือถือที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องการการขยายสัญญาณ
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าว แสดงถึงความท้าทายในการบริหารจัดการเงินทุนสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และเป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นที่ต้องประเมินความเสี่ยงและความพร้อมทางการเงินอย่างรอบคอบในการเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่
CTH เจ๊งยับ แบกภาระไม่ได้
สำหรับบริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 เป็นผู้ให้บริการเคเบิลทีวีในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการให้บริการในระดับภูมิภาคและมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการเคเบิลทีวีที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
CTH ได้สร้างกระแสความสนใจในวงการโทรทัศน์และกีฬาไทยในปี 2556 เมื่อสามารถประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษในไทยได้สำเร็จ มีระยะเวลาครอบคลุม 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 2013-2016 ด้วยการซื้อที่มีมูลค่าสูงถึง 9,000 ล้านบาท ล้มยักษ์อย่าง “ทรู วิชั่นส์” ที่เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกก่อนหน้านั้น
การประมูลครั้งนั้นทำให้ CTH ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและมีเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าด้วยการดึงดูดผู้ชมที่สนใจกีฬาในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้รับลิขสิทธิ์ CTH ประสบปัญหาทางการเงินและการจัดการหลายประการ ทำให้ไม่สามารถสร้างรายได้ที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายสูงจากการประมูล และยังเจอปัญหาด้านการให้บริการ เนื่องจากต้องใช้โครงข่ายของผู้ให้บริการอื่นในบางพื้นที่ ทำให้มีต้นทุนสูงและเกิดความไม่ยั่งยืนทางธุรกิจ
ในที่สุด CTH ต้องยุติการดำเนินกิจการในปี 2559 และลิขสิทธิ์การถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกถูกยกเลิกตามไปด้วย
ผลจากการหยุดกิจการทำให้ CTH ประสบปัญหาและเกิดความเสียหายต่อฐานลูกค้า รวมถึงการส่งมอบสิทธิ์การถ่ายทอดให้ผู้ให้บริการรายอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน
โดยการที่ CTH ต้องหยุดการดำเนินธุรกิจหลังจากไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษได้ ส่งผลกระทบต่อหลายฝ่ายในอุตสาหกรรมโทรทัศน์และผู้บริโภค ดังนี้
1. ผู้ชมและสมาชิกของ CTH ขาดความเชื่อมั่น
การยุติบริการของ CTH ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสมาชิกที่สมัครแพ็กเกจเพื่อชมพรีเมียร์ลีก สมาชิกหลายคนรู้สึกผิดหวังและเสียโอกาสในการรับชมพรีเมียร์ลีกอังกฤษตามที่คาดหวังไว้ โดยผู้ชมเหล่านี้ต้องหาผู้ให้บริการรายใหม่เพื่อดูการแข่งขัน ซึ่งสร้างความไม่พอใจและเสียความเชื่อมั่นในการให้บริการของ CTH
2. สะเทือนวงการโทรทัศน์และผู้ให้บริการรายอื่น
ภายหลังจากที่ CTH ประสบปัญหาด้านการเงินและต้องยุติการดำเนินการ ส่งผลให้อุตสาหกรรมโทรทัศน์เสียความน่าเชื่อถือในสายตาของนักลงทุน การประมูลลิขสิทธิ์ที่สูงเกินไปสร้างแรงกดดันให้กับผู้ให้บริการรายอื่นที่ต้องพิจารณาการลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางการเงินในลักษณะเดียวกัน
เวลาต่อมาผู้ให้บริการอย่าง “ทรู วิชั่นส์” สามารถเข้ามาช่วงชิงลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ทำให้ทรูวิชั่นส์กลับมาครองตลาดการถ่ายทอดสดกีฬานับจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน