
เปิดผลสำรวจสุขภาพสื่อไทยปี’67 พบเครียดสูงทวีคูณ-ไร้วันหยุด-โรคเพียบ เผยปัจจัยสังคม “เหล้า บุหรี่ กัญชา” กระทบการทำงานคนข่าว ห่วงปี 2568 ฟองสบู่สื่อออนไลน์ใกล้แตก
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) จัดการประชุม “ความเสี่ยงและสุขภาวะสื่อมวลชนไทย ปี 2567” เพื่อนำเสนอผลการสำรวจสถานการณ์สุขภาวะของสื่อมวลชน
นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน สสส. กล่าวในฐานะประธานเปิดการประชุม ว่า การประชุมโฟกัสกรุ๊ปกับตัวแทนสื่อมวลชนในครั้งนี้ มีจุดประสงค์ในการประมวลสภาพการทำงานที่กระทบต่อสุขภาวะสื่อในปี 2567 เพื่อวางแนวทางการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในปี 2568 สำหรับการทำงานของสื่อในปีนี้ มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการปลดออกเลิกจ้างจำนวนมาก ภาพรวมการทำงานของสื่อมวลชนไทย เต็มไปด้วยความยากลำบาก
ปลดคนแล้ว ไม่ต่ำกว่า 300 คน-ฟองสบู่สื่อออนไลน์
ข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 มีธุรกิจสื่อปลดออกพนักงานไปแล้วไม่ต่ำกว่า 300 คน แม้จะมีการจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแต่หากยังไม่มีงานใหม่ ก็จะสร้างปัญหาในอนาคตต่อไป ขณะเดียวกัน สื่อออนไลน์ที่มีรายได้หลักมาจากผู้สนับสนุน หรือสปอนเซอร์ ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากทุกสื่อต้องแข่งขันกันในการหาผู้สนับสนุนและสายป่านต้นทุนของแต่ละสื่อไม่เท่ากัน ฉะนั้นในปีหน้านี้สื่อออนไลน์ก็จะประสบกับความยากลำบากมากขึ้น ไม่ต่างจากสื่อกระแสหลักและสื่อทีวีดิจิทัลที่ล้มหายไปอีกมาก
“ในอนาคตอันใกล้ภาวะฟองสบู่ของวงการสื่อออนไลน์กำลังจะแตกเพราะปริมาณมากเกินจนล้นตลาด สื่อที่ยังอยู่ก็ปรับลดขนาดองค์กรทำให้คนทำงานสื่อต้องทำงานหนักขึ้นค่าล่วงเวลาไม่ได้เบี้ยเลี้ยงไม่มี วันหยุดก็น้อยจนเกิดความเครียดแทบไม่มีเวลาพักผ่อน สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อสุขภาพของสื่อมวลชนอย่างมาก” นายวิเชษฐ์กล่าว
นายวิเชษฐ์กล่าวต่อว่า สสส.ในฐานะองค์กรสื่อด้านสุขภาพ ได้วิเคราะห์ปัจจัยที่จะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งเป็นห่วงโซ่ที่จะกระทบต่อการทำงานของสื่อด้วยเช่นกัน เช่น ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. … ที่จะมีการปลดล็อกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตให้มีเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อัตโนมัติ การอนุญาตโฆษณา แม้จะมีข้อกำหนดเพื่อจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชน
แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความเสี่ยงที่น่ากังวลอย่างมาก ประเด็นถัดมา คือ กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ที่ปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะมีการเสนอให้มีการนำเข้าและจำหน่ายอย่างถูกกฎหมาย การเดินหน้าเสนอ ร่าง พ.ร.บ.กัญชง กัญชา พ.ศ. … เพื่อปลดล็อกให้มีการจำหน่ายได้อย่างถูกกฎหมาย โดยสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างแน่นอน
“สภาพสังคมไทยในปีหน้าจะมีปัจจัยความเสี่ยงด้านสุขภาพเยอะ ดังนั้น สุขภาวะของสื่อมวลชนก็จะเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากปัญหาด้านสุขภาพส่วนตัวของตนเอง แล้วยังต้องรับมือกับปัญหาทางสังคมที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานที่จะต้องเผชิญกับความเครียดมากขึ้นเป็นทวีคูณตามความคาดหวังของประชาชนที่อยากให้สื่อเป็นกระจกสะท้อนสังคม และชี้แนะทิศทางสังคมให้เป็นถูกต้อง
จึงหวังว่าผลการสำรวจสถานการณ์สุขภาวะสื่อมวลชนไทยปี 2567 ที่ทางมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะโดยการสนับสนุนของ สสส. จะนำมาเป็นข้อมูลร่วมกันแสวงหาแนวทางในการดูแลสุขภาพของสื่อมวลชน และในเวทีการประชุมครั้งนี้มี นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภาสายสื่อมวลชน (สว.) มาร่วมเสนอแนะมุมมองด้วยจะได้นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนเชิงนโยบายระดับชาติต่อไป” นายวิเชษฐ์กล่าว
ทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน-ไม่มีวันหยุดแน่นอน
ด้าน รศ.ดร.ณัฐนันท์ ศิริเจริญ เลขาธิการมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ เปิดเผยถึงผลการสำรวจสถานการณ์ ปัญหาสุขภาวะของสื่อมวลชนไทย ปี 2567 โดยมีการสอบถามกลุ่มตัวอย่างสื่อมวลชนประเภทหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 372 คน แบ่งเป็นเป็นเพศชาย 61% เพศหญิง 38.0% เพศทางเลือก 1%
คำถามแรกสื่อมวลชนทำงานหนักมากน้อยแค่ไหนพบว่าส่วนใหญ่ 44.09% ทำงาน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน แต่จำนวน 19.35% ไม่มีความแน่นอนในชั่วโมงทำงาน ขณะที่ 13.98% ทำงาน 9-10 ชั่วโมงต่อวัน และที่มากกว่านั้น มีสื่อมวลชน 8.60% ต้องทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน สรุปว่าเกินครึ่งทำงานหนักมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง
นอกจากนั้นยังพบว่าส่วนใหญ่ 41.94% ไม่มีวันหยุดที่แน่นอน 31.18% หยุด 2 วันต่อสัปดาห์ 10.75% หยุด 1 วันต่อสัปดาห์ และ 8.60% ไม่มีวันหยุดเลย
กว่า 7 ใน 10 ป่วยโรคกลุ่ม NCDs-มีความเครียดสูง
รศ.ดร.ณัฐนันท์ กล่าวต่อว่า คำถามเรื่องโรคประจำตัวส่วนใหญ่
- 56.99% ไม่มีโรคประจำตัว
- 43.01% มีโรคประจำตัว
- 24.14% คนที่มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงและเบาหวานในสัดส่วนที่พอ ๆ กัน
- ภาพรวม 77.58% เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)
ถัดมาเป็นปัญหาความเครียดจากการทำงานพบว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ 41.13% มีความเครียดสูงกว่าปกติเล็กน้อย รองลงมา 23.39% มีความเครียดปานกลาง ตามมาด้วยปกติไม่เครียด 18.28% และสุดท้ายเครียดมาก 5.38% เมื่อดูโดยภาพรวมมีความเครียดสูงถึง 69.9%
ส่วนพฤติกรรมเสี่ยงสุขภาพสื่อมวลชนส่วนใหญ่
- 83.60% ไม่สูบบุหรี่
- 16.40% ยังสูบบุหรี่อยู่
สำหรับเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 96.77% ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า มีเพียง 3.23% เท่านั้นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่ พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์นั้นพบว่า 43.01% ยังดื่มแอลกอฮอล์อยู่ ส่วนอีก 48.12% ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการพนันและการพนันออนไลน์นั้นพบว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ 65.59% เคยเล่นการพนัน ส่วนอีก 34.41% ไม่เคยเล่นการพนัน
ผู้บริหารควรให้ความสำคัญ สวัสดิภาพ-สวัสดิการ
รศ.ดร.ณัฐนันท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อทำให้สื่อมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงในการทำงานและต้องทำงานหนักขึ้น วันหยุดต่อสัปดาห์ลดน้อยลงส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ สื่อมวลชนมีโรคประจำตัวเพิ่มขึ้น 16.01% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 โรคประจำตัวที่เป็นกันมากที่สุดคือ ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน การเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีปริมาณที่สูงขึ้น และยังพบว่าส่วนใหญ่มีความเครียดจากการทำงานสูงมาก ดังนั้น ผู้บริหารองค์กรสื่อควรให้ความสำคัญในการป้องกันปัญหานี้โดยเร่งด่วน
ส่วนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ มีการสูบบุหรี่น้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ลดลงไป 7.13% และพบว่าสื่อมวลชนที่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 เช่นเดียวกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พบว่าดื่มลดลง 8.99% เมื่อเปรียบกับปี 2566
ทั้งนี้ ในการทำงานของสื่อปัจจุบันจำเป็นต้องรับมือเพื่อปรับตัว ในทางเดียวกันนั้น สสส. ในฐานะขององค์กรสื่อด้านสุขภาพที่ต้องอาศัยการขับเคลื่อนของสื่อมวลชน จะต้องผลักดันป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพต่าง ๆ ของประชาชนคนไทยที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของสื่อมวลชนเช่นกัน
ด้านสื่อมวลชนร่วมเสนอแนะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าปัจจุบันมีสื่อมวลชนที่ประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของสื่อได้หันมาทำสื่อออนไลน์มากขึ้น แต่สื่อเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลด้านสวัสดิภาพและสวัสดิการ จึงอยากให้สมาคมวิชาชีพสื่อได้เข้ามาดูแลปัญหาเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะมีสื่อโทรทัศน์ที่ทำงานตั้งแต่ตีหนึ่งถึงเช้าเพื่อเตรียมรายการข่าวเช้าของแต่ละสถานีเชื่อว่ามีไม่ต่ำกว่า 100 คน ที่มีปัญหาสุขภาพ
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและสมาคมวิชาชีพสื่อได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวพร้อมกับเสนอให้สื่อมวลชนที่ประสบความสำเร็จได้หันกลับมาดูแลนักข่าวและคนทำสื่อที่ประสบความเดือดร้อนที่มีปัญหาสุขภาพด้วย โดยอาจจะมีการตั้งกองทุนเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้