สุริยะ ลุย อีสานพร้อมเปลี่ยน ‘ความท้าทาย’ กลายเป็น ‘โอกาส’ เชื่อมไทยสู่โลก ผ่านโครงข่ายคมนาคม

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

‘สุริยะ’ ลุยอีสาน เปลี่ยน ‘ความท้าทาย’ กลายเป็น ‘โอกาส’ เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการเดินทาง-ขนส่งสินค้า ไทย-ลาว-จีน “สร้างโอกาส-เชื่อมไทย-เชื่อมโลก” รองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่หอประชุมราชภัฏรังสฤษฏ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ ‘เครือมติชน’ จัดงาน สัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤต

ในช่วง 13.35 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทย : อีสาน เชื่อมโลก”ว่า ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของการสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย อนาคตประเทศไทย อีสานเชื่อมโลก ซึ่งจัดโดยเครือมติชนร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

โดยตนจะฉายภาพให้เห็นถึงโอกาสของประเทศไทยและโอกาสของภาคอีสานในการเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมไทยสู่โลก โดยการเชื่อมโยงด้านคมนาคมขนส่งนั้นจะเป็นกลไกหลักที่สำคัญ เราจึงได้มีแผนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ณ ขณะนี้ และแผนที่จะดำเนินการในอนาคต เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นภาพ เข้าใจบริบท เพื่อเตรียมความพร้อมในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงข่ายต่าง ๆ อันเป็นผลจากความเชื่อมโยงและความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งสินค้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นายสุริยะเผยว่า ก่อนอื่นตนขอฉายภาพกว้างให้ท่านเห็นถึงบริบทของโลก โลกของเรามีประชากรอยู่มากถึง 8 พันกว่าล้านคน และมีมูลค่าเศรษฐกิจรวมกว่า 3 พัน 6 ร้อย 9 สิบ ล้านล้านบาท (3,690,000,000) ถ้าหากเราสามารถเชื่อมโยงประเทศไทยกับโลกได้ นี้ก็คือโอกาสของประเทศในการทำการค้าการลงทุนกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ประเทศจีนเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ของโลก มีเขตแดนใกล้กับประเทศไทยเพียงแต่มีประเทศลาวคั่นระหว่างกันอยู่ อีกทั้งทุกท่านคงทราบดีว่าประเทศจีนเป็นฐานการผลิตและการบริโภคที่สำคัญ มีประชากรมากกว่า 1 พัน 4 ร้อยล้านคนและมีจีดีพีกว่า 623 ล้านล้านบาท

ADVERTISMENT

ประเทศจีนมีการค้าขายกับทุกประเทศทั่วโลก ดังนั้น ประเทศจีนจึงเป็นเป้าหมายที่ประเทศไทยควรจะเชื่อมเข้าหา เพื่อเป็นสะพานเชื่อมเข้าหาตลาดการค้าโลก และประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงได้ง่ายผ่านโครงข่ายด้านคมนาคม

นี้คือข้อความที่สำคัญ ว่าถ้าเราสามารถเชื่อมประเทศไทยไปสู่ประเทศจีนนั้นหมายความว่าเราจะสามารถเชื่อมกับคนไทยสามารถเชื่อมกับคนได้กว่า 1 พันล้านคนได้ และเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่ผ่านที่ภาคอีสาน ก็จะสร้างโอกาสให้ ทั้งในการเดินทาง และการขนส่งสินค้า การค้า ลงทุนออกไปยังประเทศจีนและตลาดภูมิภาคของโลกได้อย่างกว้างขวางเพิ่มมากขึ้น

ADVERTISMENT

นายสุริยะกล่าวว่า คราวนี้ถ้าเราลองหันมามองภายในประเทศไทย พบว่าประเทศไทยของเรามีจีดีพีเพียง 18 ล้านล้านบาท และมีประชากรเพียงแค่ 70 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่าประเทศจีน 20 เท่า ซึ่งถ้าเราคิดที่จะค้าขายกับประชากรภายในประเทศก็คงไม่เพียงพอ เราจึงต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าโอกาสของประเทศไทยที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตให้มากกว่าในปัจจุบันได้หรือไม่ และประเทศไทยเรานั้น ทางรัฐบาลมีแนวทางอย่างไรในการคว้าโอกาสนั้นเพื่อนำไปสู่การพัฒนาในประเทศของเรา

ตนจะขออนุญาตนำเรียนพี่น้องประชาชนในภาคอีสานเพื่อได้รับทราบถึงโอกาสกับทุกท่าน เพื่อหันมามองภาคอีสานที่ยังมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจไม่สูงนักในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับพื้นที่เศรษฐกิจ เช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) แม้ว่าภาคอีสานจะมีประชากรคิดเป็น 30% ของประเทศ แต่มีจีดีพีเพียง 1.75 ล้านล้านบาท หรือประมาณแค่ 10% แต่ตนจะขอนำเรียนว่ายังมีทางเลือกอีกมาก เพราะประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศจีน และรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมกำลังดำเนินการอยู่ทั้งทางถนนและทางรถไฟ

ดังนั้น การกำหนดยุทธศาสตร์และทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงภาคอีสาน ผ่านประเทศลาวสู่ประเทศจีนนั้น จะเป็นการสร้างโอกาสและ ศักยภาพให้ภาคอีสานเป็นอย่างมาก และตนจะทำให้เห็นว่าภาคอีสานจำเป็นต้องตื่นตัว และมองเห็นทุกโอกาส เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวโอกาสที่จะมาถึงในการรองรับการลงทุนของนักลงทุนและการเดินทางของนักท่องเที่ยว

มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นการปล่อยโอกาสให้ภาคอีสานเป็นเพียงแค่ทางผ่านของความเจริญที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เมื่อวันที่ 22 กันยาฯ 2567 รัฐบาลได้บอกต่อสาธารณชน ว่าต้องการเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นความหวัง โอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม และจะเดินหน้าลงทุนพัฒนาเมกะโปรเจ็กต์ ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศให้มีประสิทธิภาพเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อ เช่น จะมีการสร้างทางรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูงควบคู่กับการพัฒนาเมือง ที่สอดคล้องกับความต้องการพื้นที่ เพื่อให้เกิดการกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจ รวมถึงพัฒนาสนามบิน และเปิดเส้นทางการบินใหม่ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค

นายสุริยะกล่าวต่อไปว่า จากนโยบายดังกล่าวตนได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ใช้เป็นกรอบในการทำงาน เพื่อแปลงนโยบายไปสู่การให้เป็นรูปธรรมอย่างโดยเร็ว

ภาคอีสานในปัจจุบันถึงแม้ว่าจะมีโครงข่ายคมนาคมทั้งในส่วนของถนน รถไฟ และสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมต่อกับประเทศไทย-ลาวนั้น แต่เท่านี้ยังไม่พอต่อบริบทที่เปลี่ยนไป เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโลก

กระทรวงคมนาคมภายใต้การบริหารของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้มีแผนแอ็กชั่นแพลน ที่จะพัฒนาโครงสร้างด้านคมนาคมเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนารถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์เชื่อมชายแดนไทย-ลาว รถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อไปยังประเทศลาวและผ่านต่อไปยังทางประเทศจีนตอนใต้ และศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งจังหวัดหนองคายและจังหวัดนครพนม และการพัฒนาสะพานข้ามแม่น้ำโขงและการพัฒนาสนามบินที่มีอยู่แล้วเพิ่มประสิทธิภาพรองรับ การเดินทางทางอากาศตามนโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการบิน (Aviation Hub)

นายสุริยะเปิดเผยว่า 2 ประเด็นหลักที่จะกล่าวนั้น เพื่อเห็นประเทศไทย และ เห็นภาพสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และความสร้างความเชื่อมโยงให้เกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ปัจจุบันเรามีโครงการที่ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว และตนก็ได้เร่งรัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงทั้งในด้านระบบรางและระบบถนน

ซึ่งตนจะขอตัวอย่างโครงการสำคัญในภาคอีสานให้ได้ทราบดังต่อไปนี้ โดยขอเริ่มจากโครงการที่สำคัญทางระบบราง

กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างเร่งรัดการก่อสร้างรถไฟทางคู่ในภาคอีสานเชื่อมกับกรุงเทพมหานคร จะไปให้ถึงชายแดนไทย-ลาว ที่จังหวัดหนองคายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับรายละเอียดภาพของแต่ละโครงการโดยละเอียด

โดยเริ่มจากโครงการทางรถไฟสายหลักตามแนวภาคอีสาน โครงการที่ 1 ซึ่งเป็นรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร โดยปัจจุบันกำลังเร่งรัดการก่อสร้าง ซึ่งโครงการนี้กระทรวงคมนาคมได้แก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวนครราชสีมา โดยมีการปรับรูปแบบโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการที่พี่น้องประชาชนชาวนครราชสีมาได้เข้ามาเรียกร้อง โดยจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จและเปิดบริการได้ในปี 2569

โครงการที่ 2 จะเป็นการพัฒนาช่วงต่อจากมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ-หรือช่วงถนนจิระ-ขอนแก่น ซึ่งเป็นรูปแบบรถไฟทางคู่ที่เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่ปี 2562

ต่อมาจะเป็นโครงการที่ 3 รถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทางรวมทั้งสิ้น 167 กิโลเมตร ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการและได้มีการลงนามในสัญญาแล้ว โดยจะเริ่มลงทุนก่อสร้างในปี 2568 และมีกำหนดการแล้วเสร็จเปิดให้บริการได้ภายในปี 2571

นั่นหมายความว่าการเดินทางและการส่งเสริม ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสินค้าจากกรุงเทพฯและพื้นที่อีอีซี สามารถเชื่อมต่อไปยังลาวและจีนได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีงานเส้นทางผ่านพื้นที่ภาคอีสาน

นายสุริยะกล่าวว่า นอกจากเส้นทางรถไฟในแนวเหนือใต้ของอีสานแล้ว ในแนวตะวันตกตะวันออกของภาคอีสานจะมีรถไฟทางคู่อีกสองเส้นทาง เพื่อเชื่อมโยงไทย-ลาว-ประเทศเวียดนามไปสู่ประเทศจีน

ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กำลังก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่แยกแถวบ้านไผ่ไปยังจังหวัดนครพนม ระยะทางรวมทั้งสิ้น 355 กิโลเมตร ในวงเงินลงทุนกว่า 66,848 ล้านบาท ที่รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดให้ก่อสร้างให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อเชื่อมโยงอีสานตอนบนและคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2570

นอกจากนี้ นายสุริยะเผยว่า ในปี 2568 มีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างรถไฟทางคู่เชื่อมต่อทางถนนจิระจังหวัดนครราชสีมาไปยังจังหวัดอุบลราชธานี ระยะทางประมาณ 308 กิโลเมตร โดยอยู่ระหว่างพิจารณาในโครงการ เพื่อเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี เส้นทางนี้จะเพิ่มศักยภาพในการเชื่อมโยงอีสานตอนล่างไปสู่ลาว-เวียดนามและประเทศกัมพูชาได้ในอนาคต

นายสุริยะเผยว่า ที่กล่าวไปนั้นเป็นการพัฒนารถไฟทางคู่ นอกจากทางนั้นแล้วเพื่อให้เดินทางสู่ประเทศจีนมีความรวดเร็วมากขึ้น กระทรวงคมนาคมจึงได้มีแผนดำเนินการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมไปยังประเทศจีน ที่รัฐบาลมีแผนจะลงทุนกว่า 500,000 ล้านบาท

โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง จากกรุงเทพมหานครเพื่อไปเชื่อมต่อกับรถไฟไทยกับ รถไฟลาว-จีนที่กรุงเวียงจันทน์ ซึ่งได้เปิดให้บริการมาสักระยะหนึ่งแล้ว

ช่วงที่ 1 จากกรุงเทพฯถึงนครราชสีมา ระยะทาง 250 กิโลเมตร ได้กำหนดแผนลงทุนไปแล้วกว่า 1 แสน 8 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งรัดเพื่อให้สามารถเปิดใช้งานเป็นรถไฟความเร็วสูงสายแรกของประเทศได้ในปี 2571

สำหรับช่วงที่ 2 จากนครราชสีมาถึงหนองคาย วงเงินลงทุนกว่า 3.41 แสนล้านบาท อยู่ในระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติโครงการ และจะเริ่มก่อสร้างและสามารถเปิดให้บริการในปี 2574

สำหรับช่วงที่ 3 ที่จำเป็นต้องก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ที่จังหวัดหนองคาย เพื่อเชื่อมต่อรถไฟลาว-จีน ปัจจุบันอยู่ระหว่าง ร.ฟ.ท.กำลังออกแบบรายละเอียด และจะต้องเจรจาร่วมกันระหว่างไทย-ลาว-จีน คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2574 พร้อมกับการเชื่อมต่อระบบรางไทยจีนอย่างไร้รอยต่อ

นายสุริยะเผยว่า จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคจะอยู่ที่จังหวัดหนองคาย ที่ต้องเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

รัฐบาลมีแผนที่จะสร้างสถานีนาทา จังหวัดหนองคาย เป็นศูนย์กลางขนส่งสินค้าระหว่างถนนกับราง เพื่อให้เกิดความสะดวก เป็นจุดกระจายสินค้าหลักในภาคอีสาน ส่งต่อสินค้าไปยังทางจีน ตามแผนการคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569 และเปิดให้บริการได้ในปี 2571 พร้อมกับรถไฟทางคู่

นอกเหนือจากศูนย์สถานีนาทาจังหวัดหนองคายเปลี่ยนถ่ายสินค้าไปแล้วนั้น ยังมีอีก 2 แห่งที่ต้องดำเนินการ ได้แก่ ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ที่จะสามารถเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน-เวียดนาม-ลาว เป็นศูนย์รวบรวมและการกระจายสินค้าที่ได้ให้บริการแล้วเสร็จเพื่อรองรับโครงข่าย ทั้งเส้นทางบ้านไผ่ นครพนม เชื่อมโยงไทย-ลาว-เวียดนาม โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2568

นายสุริยะกล่าวว่า การเดินทางโดยรถไฟผ่านจังหวัดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น นครราชสีมา-ขอนแก่น-อุดรธานี-หนองคาย จำเป็นต้องมีการพัฒนาเมืองพัฒนาพื้นที่รอบสถานี โดยต้องออกแบบและสร้างเมืองให้สามารถรองรับกิจการท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั้งแก่ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ และรองรับนักท่องเที่ยวให้เดินทางได้สะดวก ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่สีเขียว เพื่อให้เมืองเติบโตอย่างยั่งยืน

นอกเหนือจากที่ได้กล่าวไปนั้น และในส่วนของระบบรางที่จะเป็นระบบหลักเพื่อลดต้นทุนการขนส่งแล้ว ระบบถนนยังจำต้องเป็นที่จะต้องพัฒนาควบคู่กันไป เพราะรางไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ถนนจะเป็นตัวเชื่อมจากรางเข้ากับพื้นที่ต่าง ๆ เชื่อมแหล่งผลิต แหล่งเพาะปลูก นิคมอุตสาหกรรม เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าไปยังตลาดชายแดน และจะกระจายไปยังตลาดในต่างประเทศ จะเชื่อมกับแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ

ดังนั้น การพัฒนาโครงข่ายถนนให้สะดวกจะช่วยให้การขนส่งสินค้าเชื่อมโยงกับการเดินทางของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ในภูมิภาคเป็นไปด้วยความรวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะต้องมีการบูรณาการมอเตอร์เวย์ และ ทางรถไฟเข้าด้วยกันในอนาคต สร้างโอกาสให้ไทยเป็นโลจิสติกส์ฮับของภูมิภาค

นายสุริยะกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้พัฒนามอเตอร์เวย์ (M6) สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา โดยปัจจุบันใกล้เสร็จแล้ว และจะเปิดให้บริการตลอดเส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งจะช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ให้เหลือเพียง 2 ชั่วโมง อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบมอเตอร์เวย์สายใหม่ร่วมกับระบบรางจากแหลมฉบัง-นครราชสีมา เร่งรัดเปิดให้บริการสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ภายในปี 2568

และอยู่ระหว่างพัฒนาศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม โดยจะเปิดให้บริการได้ในปี 2568 และพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพื่อเชื่อมรางกับถนนเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยได้มอบหมายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยศึกษาความเหมาะสมของตำแหน่งที่ตั้งว่าจะอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นหรือนครราชสีมา เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งไปยังท่าเรือแหลมฉบังในอนาคต

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายการเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศ (Aviation Hub) ของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาท่าอากาศยานที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต อาทิ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 2.8 ล้านคนต่อปี ก่อสร้างลานกลับลำอากาศยานของท่าอากาศยานนครราชสีมา และสนับสนุนให้มีสายการบินพาณิชย์มาทำการบินให้มากขึ้น ขยายลานจอดเครื่องบินท่าอากาศยานขอนแก่นและนครพนมให้สามารถรองรับจำนวนอากาศยานได้มากขึ้น และศึกษาออกแบบต่อเติมขยายความยาวทางวิ่งของท่าอากาศยานร้อยเอ็ดและเลย ให้สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้

นายสุริยะกล่าวในตอนท้ายว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นทางเดินสำคัญของไทย และเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ กระทรวงคมนาคมพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเปลี่ยน “ความท้าทาย” ให้กลายเป็น “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม” ของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม โดยได้มอบนโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย”

ให้หน่วยงานในสังกัดใช้เป็นกรอบการดำเนินงาน เดินหน้าลงทุนพัฒนาเมกะโปรเจ็กต์ ทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ พร้อมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมในภูมิภาคอย่างยั่งยืน