สัมภาษณ์พิเศษ
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่หลายคนเริ่มรับรู้ว่าเป็นปัญหาหนักในปีนี้ มีปัจจัยสำคัญเป็นตัวเร่ง อย่างมลพิษจากรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม ไซต์งานก่อสร้าง และภาคการเกษตร ทำให้คนไทยหลายสิบล้านคนเสี่ยงเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ นำไปสู่มูลค่าความเสียหายในการใช้จ่ายด้านสุขภาพไม่ต่ำกว่า 2 พันล้าน ล่าสุด ‘ประชาชาติธุรกิจ’ ได้พูดคุยกับ ‘ดร.สนธิ คชวัฒน์’ ถึงประเด็นร้อนดังกล่าว ซึ่งเขาให้มุมมองว่า ต้องให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดและท้องถิ่นเป็น Single Command ที่สำคัญต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เริ่มหนักขึ้นนับจากปี 2562 และต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ด้วยความกดอากาศสูงจากแผ่นดินใหญ่ไซบีเรีย และจีน โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว อากาศเย็นเป็นมวลอากาศหนักที่กดทับพื้นดิน ทำให้แหล่งกำเนิดมลพิษต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นโลกไม่สามารถลอยขึ้นไปได้
ซ้ำร้ายหากลมนิ่งยิ่งทำให้ฝุ่นเยอะ ส่วนมลพิษที่อยู่ในเมืองเกิดจากรถยนต์กว่า 11.8 ล้านคัน ประกอบกับโรงงานอุตสาหกรรมในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนกว่า 4,708 แห่ง ซึ่งใช้พลังงานฟอสซิลประมาณ 500 แห่ง ทั้งน้ำมันเตา น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันดีเซล หรือมาจากไซต์งานก่อสร้างมหาศาลเลยทีเดียว
ประกอบกับกรุงเทพฯ ยังมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ เวลามีฝุ่นเข้ามาแล้วมันจะวนอยู่ในนี้ พัดไปไหนไม่ได้ นอกจากนี้นอกเมืองยังมีการทําเกษตรกรรม การเผาไร่นา โดยการเผาจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม ก่อนที่จะเปลี่ยนรอบการปลูกใหม่ ถ้าไม่เผาแล้วใช้วิธีไถกลบแล้วเอาไปย่อยสลายในดินจะไม่ทันต่อการปลูก
ขณะเดียวกันก็มีโรงงานน้ำตาล 58 แห่ง มีคอนแทร็กต์ไร่อ้อยอยู่ประมาณ 11-14 ล้านไร่ ถ้าเขาตัดอ้อยสดก็จะมีปัญหาเรื่องแรงงานไม่มี คนรับจ้างอาจเป็นผื่นคันผื่นแพ้ บาดผิวหนัง จึงใช้วิธีการเผาอ้อยส่งโรงงานแทน ทำให้เกิดฝุ่นควันขึ้นเยอะ รวมทั้งฝุ่นควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้านก็นับเป็นปัญหาฝู่นของประเทศไทยเราด้วยเหมือนกัน
PM 2.5 ทำคนไทยเสี่ยงโรคครึ่งประเทศ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศไปแล้วว่า 38 ล้านคนอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการรับบุตรและองค์การอนามัยโลกประกาศ และฝุ่น PM 2.5 คือสารก่อมะเร็ง ถ้าคนเหล่านี้เป็นโรคระบบทางเดินหายใจเข้าโรงพยาบาล ลองคิดดูว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ในแต่ละปี คงไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท สนธิประเมิน
ขณะเดียวกันในเรื่องของภาพรวมเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องการเดินทางที่รัฐบาลจัดการให้ขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน แล้วต้องจ่ายชดเชย 140 ล้านบาท สนธิมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจะเสียหายมาก ส่วนเรื่องของสินค้าจากผลผลิตทางการเกษตรที่มาจากการเผาไหม้ สนธิบอกว่า เอาไปขายให้ EU เขาไม่ซื้อ เนื่องจากมีการตรวจสอบต้นตอว่ามาจากไหน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจจนประเมินตัวเลขไม่ได้
อนาคตสถานการณ์ฝุ่นจะแย่กว่าเดิม
ดร.สนธิกล่าวต่อว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ฝุ่นต้องเพิ่มแน่ ๆ เพราะว่าปัญหาเรื่องโลกร้อนเริ่มรุนแรงขึ้น อย่างในประเทศจีนก็มีความเย็นมาก ปีนี้มณฑลหูเป่ย์มีอากาศติดลบ 50 องศาเซลเซียส แล้วมีอากาศเย็นลงมาที่ประเทศไทย จึงทำให้มีอากาศหนาวนานขึ้น พออากาศหนาวแล้วจึงทำให้อากาศกดลงมา ดังนั้นจึงต้องแก้ปัญหาตั้งแต่แหล่งกำเนิด
ซึ่งแหล่งกำเนิดทั้งหลายที่มีการพูดกันมาตั้งแต่ปี 2562 มีการจัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติในการจัดการก็ไม่ได้แก้ไขอย่างจริงจัง เช่น การเผาไร่อ้อยที่โรงงานน้ำตาลต้องรับอ้อยสด 100% เมื่อปีที่แล้ว แต่พอถึงปีนี้กลับไปผ่อนผันให้ 25%
เช่นเดียวกันกับเรื่องไร่นาแทนที่เราจะไปหารถไถกลบ หรือเอาฟางไปทำชีวมวลทั้งหลายให้ เขาก็ไม่ได้ทำ ประกอบกับชาวนาส่วนใหญ่ยังยากจน แล้วก็เช่าพื้นที่เลยไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย
สิ่งเหล่านี้ กระทรวงเกษตรฯหรือรัฐบาลจะต้องลงไปดูแลและให้ความช่วยเหลือ แล้วหน่วยงานที่ใกล้ที่สุดคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างจังหวัดต้องลงไปดู แต่จังหวัดไม่มีอำนาจและไม่มีงบประมาณ เพราะส่วนใหญ่งบฯจะอยู่ที่กระทรวงทบวงกรม ทำให้ผู้ว่าฯกับองค์กรท้องถิ่นเข้าไปแก้ไขปัญหาได้น้อย มันก็เลยกลายเป็นปัญหายืดเยื้อ
รถมาตรฐานยูโร 5 ไม่ช่วย
ปกติรถเครื่องยนต์ดีเซลใช้งาน 7 ปีจะมีควันดำแน่นอน เขาเลยพยายามแก้ไขปัญหาคือให้ใช้น้ำมันดีเซล Euro 5 ซึ่งตอนนี้เริ่มใช้ แต่ยังมีปัญหาเพราะรถมันเยอะเพราะในเมืองมีการสตาร์ตเครื่องแล้วการจราจรติดขัด รถวิ่งอยู่ท่ามกลางถนนแคบตึกสูงขนาบทั้ง 2 ข้าง
แม้จะมีมาตรการไม่ให้รถควันดำเข้าเมือง แต่มีจำนวนรถมาก พอรวมกันแล้วมีปริมาณมหาศาลจากการปล่อยควันออกมาแล้วมันออกไปไม่ได้
Work From Home ก็ไม่ได้ผล
การรณรงค์ให้ทำงาน-เรียนที่บ้าน เพื่อลดการเผชิญหน้ากับฝุ่น และการก่อมลพิษ สนธิมองว่า มันคือการแก้ปัญหาอย่างง่าย ๆ แต่ถ้าอยู่บ้านไม่มีเครื่องกรองหรือเครื่องฟอกอากาศก็ยังคงรับฝุ่นเหมือนเดิม
แม้มันช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ในภาวะวิกฤตฝุ่นสูงมันมีกฎหมายที่ให้อำนาจอยู่ในวาระแห่งชาติเมื่อปี 2562 เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและท้องถิ่นเป็น Single Command สามารถสั่งการได้โดยใช้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 หรือประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ มีโทษจำคุก 3 เดือน ปรับไม่เกิน 25,000 บาท
แล้วประกาศให้ครอบคลุมพื้นที่นั้น ๆ ว่า อะไรคือแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น เผาขยะ เผาหญ้า รถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม ปิ้งย่าง หรือหมูกระทะกลางแจ้ง ที่มีฝุ่นมีควันออกมาอย่างนี้จะสามารถควบคุมได้หมด พอฝุ่นหายไปแล้วค่อยประกาศยกเลิก
(Single Command : การบัญชาการเดี่ยว เป็นโครงสร้างการบัญชาการพื้นฐานที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะรับผิดชอบบริหารจัดการเหตุการณ์ทั้งหมด)
หรือหากฝุ่นเกิน 75 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ประกาศภัยพิบัติสาธารณภัย แล้วก็ประกาศพื้นที่เข้าไปจัดการทุกแหล่งกำเนิดได้หมด แต่ก็ไม่กล้าประกาศ เพราะที่เห็นนี้มันวิกฤตแล้ว ดังนั้นคนจะไม่สบายเยอะไปหมด นับเป็นวันที่เลวร้าย
“ฝุ่นจากข้างนอกที่มาจากการเผาหญ้า เผาฟาง ลมก็พัดเข้ามาในเมือง แล้วจังหวัดทำไมไม่ใช้กฎหมายจัดการก็ปล่อยให้เผาอยู่ได้ยังไง จนรัฐมนตรีมหาดไทยต้องมาประกาศ ว่าคุณต้องมีการจัดการ ทำให้เกิดความสงสัยว่าช่วงนี้มันใกล้เลือกตั้งนายก อบจ. ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์หรือเปล่า เป็นการเกรงใจชาวบ้านไหม
หรือว่าวันที่ 28 มีนาคม อายุของพวกนายกเทศบาลท้องถิ่นจะหมดวาระลงและกำลังจะเลือกตั้ง เลยเกรงใจประชาชนไม่กล้าไปจับเขาหรือเปล่า กลัวเสียงจะหายไหม ก็เลยหย่อนยานไม่บังคับใช้กฎหมาย อันนี้เป็นการตั้งข้อสังเกต ทั้ง ๆ ที่ค่าฝุ่นสูง นายกรัฐมนตรีต้องสั่งมาจากต่างประเทศบอกว่าคุณต้องจัดการแล้วต้องแก้ให้หายนะ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องประหลาดนะ ทั้งที่มีอำนาจแล้วไม่ใช้” ดร.สนธิกล่าว
รัฐบาล ควรต้องจัดการยังไง ?
ดร.สนธิกล่าวว่า รัฐบาลต้องกลับมาให้ความสำคัญว่า ฝุ่นคือวาระแห่งชาติ ที่ต้องจัดการให้หมด รถยนต์ รถแท็กซี่ รถเมล์ทั้งหลาย ต้องให้เป็น EV แล้วรถเครื่องยนต์ดีเซลต้องใช้น้ำมันยูโร 6 แล้วในเมืองต้องมีโซนที่เป็นรถสร้างมลพิษห้ามเข้า สิ่งเหล่านี้ต้องประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ จะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทำไม่ได้
ขณะเดียวกันคือเรื่องการเผาไร่อ้อย ต้องสั่งการไปยังโรงน้ำตาลทั้ง 58 แห่ง ห้ามรับอ้อยไฟ ถ้ารับมาต้องผิดกฎหมาย รวมถึงการเผาไร่นาผิดกฎหมายทั้งหมด มีโทษปรับ 25,000 บาท จำคุก 3 เดือน เพราะมีการจูงใจเยอะแล้ว จากทุกวันนี้ ถ้าใครเอาอ้อยดีเข้าโรงน้ำตาลให้ 120 บาท/ตัน ถ้าเป็นอ้อยไฟไหม้หักแค่ 30 บาท ถือเป็นบทลงโทษที่ยังน้อย
“และสิ่งที่สำคัญคือ ท้องถิ่นหรือผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องใช้อำนาจ แล้วก็มีตัวชี้วัดถ้าหากว่ายังมีการเผาแล้วก็มีปัญหามากกว่าเดิม อย่างนี้อยู่ไม่ได้ ต้องให้เขาเป็น Single Command” สนธิกล่าวทิ้งท้าย