
สปสช.ยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่ กลับไปใช้เกณฑ์เดิม ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวเบิกค่ารักษา
ผศ.นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย ประธานคณะทำงานจัดทำข้อเสนอการจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุข กรณีการรักษาโรคมะเร็ง (Cancer Anywhere) ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า นโยบายรักษาโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) หรือ “โครงการมะเร็งรักษาทุกที่” (Cancer Anywhere)
มีเป้าหมายสำคัญ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาที่เหมาะสมตามแนวทางเวชปฏิบัติ หรือ Clinical Practice Guidelines (CPG) ที่จัดทำโดยราชวิทยาลัยครอบคลุมทุกโรคมะเร็ง และได้รับการรักษาทันเวลา โดยมีระบบการส่งต่อข้อมูลทางการแพทย์ที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูล มีระบบการคัดกรองและประสานส่งต่อโดยทีมพยาบาล (Nurse Management Team)
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายข้างต้นนี้ คณะทำงานจะมีการประชุมร่วมกันในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อสรุปประเด็นและแนวทางเสนอต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พิจารณาดำเนินการ คือขอให้ สปสช.ดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดจากโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ ตามประกาศหลักเกณฑ์ฉบับเดิมของ สปสช. ที่ใช้ในปีงบประมาณ 2566-2567 และยังใช้กันอยู่ในขณะนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้หนังสือรับรองสิทธิเพื่อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการประจำ หรือใบส่งตัวไม่มีความจำเป็น เพราะ สปสช.จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายผู้ป่วยมะเร็งที่ส่งต่อทุกคนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงใบส่งตัว มี 2 เรื่องปนกันอยู่ นอกจากใบส่งตัวเพื่อรับรองสิทธิในการรับผิดชอบค่ารักษาของหน่วยบริการประจำแล้ว ยังมีเรื่องใบส่งตัวที่เป็นการส่งข้อมูลทางการแพทย์ เพื่อยืนยันการวินิจฉัยว่า ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งและสามารถใช้สิทธิได้ตามโครงการ ตรงนี้ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องให้หน่วยบริการประจำแจ้งต่อโรงพยาบาลรับส่งต่อ
ผศ.นพ.สนั่นกล่าวว่า ส่วนกรณีที่เป็นการส่งต่อด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้น ระบบของหน่วยบริการและโรงพยาบาลรับส่งต่อยังไม่เป็นระบบเดียวกันทั้งหมด ทำให้ไม่ใช่ทุกแห่งที่จะสามารถส่งหรือรับข้อมูลผู้ป่วยได้เหมือนกัน ดังนั้น การใช้ใบส่งตัวเพื่อให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นกระดาษจึงยังมีความจำเป็นอยู่ในบางราย แต่ในอนาคต หากมีการพัฒนาที่ครอบคลุมเป็นระบบเดียวกันทั้งหมด ความจำเป็นของการใช้ใบส่งตัวที่เป็นกระดาษก็จะลดลงหรือหมดไป
“มะเร็งรักษาทุกที่ ตามประกาศหลักเกณฑ์ปี 2566-2567 หนังสือส่งตัวที่เป็นเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่โรงพยาบาลรับส่งต่อขอ ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นการขอใบส่งตัวที่เป็นข้อมูลทางการแพทย์ เพราะตามหลักเกณฑ์ของโครงการ ผู้ป่วยต้องได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแล้วเท่านั้น ดังนั้น ในกรณีนี้ ใบส่งตัวเพื่อให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นกระดาษจึงมีความจำเป็นอยู่ในกรณีที่ไม่สามารถส่งและรับข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ได้” ผศ.นพ.สนั่นกล่าว
ประธานคณะทำงานจัดทำข้อเสนอการจ่ายชดเชยฯ กล่าวว่า ในส่วนของประกาศฉบับใหม่ ที่ สปสช.ได้ชะลอบังคับใช้และให้มีผลในวันที่ 1 เมษายน 2568 นั้น อยากให้ สปสช.ยกเลิก เพื่อทำให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่รับส่งต่อมีความชัดเจน เพราะวันนี้ยังอยู่ในช่วงของการผ่อนผัน ทำให้ยังมีข้อสงสัยว่า เมื่อถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 จะปฏิบัติอย่างไร เนื่องจากโรงพยาบาลรับส่งต่อต้องเตรียมหน้างาน และต้องแจ้งให้ผู้ป่วยรับทราบก่อน
อย่างไรก็ดี ทางคณะทำงานจะสรุปประเด็นนี้ให้จบในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อให้ สปสช.นำไปพิจารณาและตัดสินเพื่อให้เกิดความชัดเจน ซึ่งหากกลับไปใช้หลักเกณฑ์ปี 2566-2567 ที่ สปสช.เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ใบส่งตัวในเรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่มีความจำเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้ว
“ขณะนี้โรงพยาบาลรับส่งต่อทุกแห่ง ยังให้บริการผู้ป่วยมะเร็งตามหลักเกณฑ์ของปี 2566-2567 ซึ่งหากยกเลิกประกาศฉบับใหม่ไปในวันที่ 1 เมษายน 2568 การให้บริการก็เหมือนเดิมไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ซึ่งต้องบอกว่ากรณีของประกาศหลักเกณฑ์ปี 2566-2567 วันนี้โรงพยาบาลก็ยังทำงานได้อยู่
เพียงแต่มีบางแห่งมีปัญหาจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องหาวิธีในการแก้ปัญหาต่อไป โดยพัฒนาศักยภาพด้านความสามารถการรักษาโรคมะเร็งให้กับ รพ.สังกัดต่าง ๆ มาช่วยรองรับเพื่อกระจายผู้ป่วยออกไปไม่ให้เกิดการกระจุกตัว ณ โรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่งจนเกินศักยภาพด้านปริมาณ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานสังกัดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง” ผศ.นพ.สนั่นกล่าว
ผศ.นพ.สนั่นกล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นการรักษาโรคแทรก หรือโรคที่ไม่เกี่ยวกับมะเร็งนั้น ตามประกาศเดิมปี 2566-2567 สปสช.จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากมีการรักษามะเร็งในครั้งนั้นร่วมด้วย ส่งผลให้เกิดปัญหาเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าที่ควรเป็นนั้น เรื่องนี้คงต้องมาคุยในรายละเอียด
ซึ่งปัญหาโรคแทรกซ้อนมี 2 กรณี คือ กรณีที่ส่งไปรักษาที่หน่วยบริการประจำไม่ได้ จะต้องรักษาที่โรงพยาบาลรับส่งต่อ และกรณีที่หน่วยบริการมีศักยภาพดูแลได้ แต่ปัญหาก็คือ หน่วยบริการประจำมีศักยภาพบริการไม่เท่ากัน และโรงพยาบาลรับส่งต่อก็ไม่รู้ศักยภาพของหน่วยบริการประจำเหล่านี้ ทำให้เกิดข้อติดขัด ตรงนี้คงต้องมาดูในรายละเอียดเพิ่มเติม
“สรุปได้ว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ ทางคณะทำงานจะสรุปประเด็นข้อเสนอต่อ สปสช. เพื่อให้ สปสช.นำไปพิจารณาว่าประเด็นที่เสนอสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ กฎหมาย ข้อบังคับ มติบอร์ด สปสช. และประกาศหลักเกณฑ์หรือไม่ เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่สามารถดำเนินการได้” ผศ.นพ.สนั่นกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ได้รับทราบข้อเสนอเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว และได้ลงนามคำสั่งยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์มะเร็งรักษาทุกที่ฉบับใหม่ ที่จะบังคับใช้วันที่ 1 เมษายน 2568 แล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้กลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ฉบับเดิมปี 2566-2567