
จับตาการประชุมบอร์ดควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 21 กุมภาพันธ์นี้ วาระใหญ่ พิจารณายกเลิกมาตรการห้ามขาย-ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟและในพื้นที่สถานีรถไฟ และพิจารณาวัน-เวลาที่ห้ามขายเหล้า ขณะที่นักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุราเผยผลสำรวจ ส่วนมากไม่เห็นด้วยกับการปลดล็อก ไม่ว่าช่วงเวลาไหน
จากกรณีที่จะมีการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน โดยมีวาระการพิจารณาเรื่องการยกเลิกมาตรการห้ามขายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟและสถานีรถไฟ ซึ่งเป็นเรื่องตีตกไปแล้วในการประชุมครั้งก่อน
แต่มีรายงานว่าในการประชุมที่จะถึงนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอีกครั้ง รวมทั้งจะมีการพิจารณาเรื่องวัน เวลา ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ล่าสุด รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว อาจารย์ประจำสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และนักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา เปิดเผยว่า จากการสำรวจความเห็นประชาชนต่อแนวคิดเปิดให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟของรัฐบาล เมื่อเดือน ส.ค. 2567
จากกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้บริการรถไฟและสถานีรถไฟจำนวน 3,055 คน จาก 25 สถานีรถไฟจากทุกภูมิภาค พบว่า ร้อยละ 77.2-84.2 ไม่เห็นด้วยกับการเปิดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นการขายเฉพาะบางขบวน ขายเฉพาะช่วงเทศกาล หรือขายทุกช่วงเวลา โดยกลุ่มผู้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นครั้งคราว ร้อยละ 79.4 และกลุ่มที่ดื่มประจำ ร้อยละ 66.9 ก็ไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้ เพราะมีความกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัยในการเดินทาง เสียงดังรบกวน/ความรำคาญ และความเสี่ยงในการถูกคุกคามทางเพศ
“เรายังพบว่า 86% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังจำเหตุการณ์คนเมาก่อเหตุข่มขืนแล้วฆ่าเด็กหญิงวัย 13 ปีบนขบวนรถไฟ แล้วโยนศพออกจากหน้าต่างรถไฟเพื่ออำพรางคดีเมื่อปี 2557 ได้ ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็เป็นที่มาของการออกกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟและบริเวณสถานี เราได้ส่งรายงานการสำรวจชุดนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปแล้ว ที่ประชุมควรนำมาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ” รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์กล่าว
ด้านนายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลที่มุ่งแต่ใช้นโยบายเพิ่มอบายมุขเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีความพยายามจะยกเลิกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00-17.00 น. ยกเลิกการห้ามขายในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ให้ขายออนไลน์ได้ โดยให้เร่งไปศึกษาข้อมูลและจะให้มีผลก่อนสงกรานต์ปีนี้ หรือแม้แต่ความพยายามในการให้มีการขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนขบวนรถและสถานีรถไฟ ซึ่งทราบว่า จะมีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันที่ 21 ก.พ.นี้
จึงอยากเรียกร้องให้คณะกรรมการ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หนักแน่นและกล้าหาญมากพอ ที่จะปกป้องคุ้มครองสุขภาพของประชาชนตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย มากกว่าโอนอ่อนไปตามผลประโยชน์ทางธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะท้ายที่สุดแล้วปัญหาทุกอย่างจะไหลมากองรวมอยู่ที่การบำบัดรักษาของฝ่ายสาธารณสุข คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท เข้าไปแล้วยังไม่พออีกหรือ
“เข้าใจว่ารัฐบาลอยากกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คำถามสำคัญคือนโยบายส่งเสริมการกินดื่มเหล่านี้ผลประโยชน์จะเกิดขึ้นกับใคร ประชาชนส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์จากแนวนโยบายนี้มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับผลกระทบต่อสังคมที่เกิดขึ้น มีคนป่วย เจ็บ ตาย พิการ ในขณะที่กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์แทบไม่ได้มาร่วมรับผิดชอบอะไรเลย
และการที่กลุ่มธุรกิจกล่าวอ้างว่าจะได้ประโยชน์กว่าห้าหมื่นล้านนั้น ที่มาที่ไปของตัวเลขมาจากไหน น่าเชื่อถือเพียงใด ที่อ้างว่าเป็นแรงจูงใจสำคัญให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นจริงหรือ เพราะไม่เคยพบข้อมูลว่านักท่องเที่ยวมีแรงจูงใจสำคัญมาจากการกินดื่ม แล้วที่ทำไปแล้วคือการขยายเวลาสถานบริการใน 5 พื้นที่นำร่องผ่านมา 1 ปีแล้ว ผลสรุปเป็นอย่างไร ได้สรุปบทเรียนกันหรือยัง
เพราะที่แน่ ๆ อุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ตัวเลขมันชัดเจนมาก ตรงนี้ใครรับผิดชอบ ซึ่งในความเป็นจริงต้องทบทวนและยกเลิกมาตรการเสียด้วยซ้ำ” นายธีรภัทร์กล่าว