ฝุ่น PM 2.5 ทำผิวหนังอักเสบ โรคเดิมกำเริบ ระยะยาวเสี่ยงมะเร็ง

ฝุ่น PM 2.5
ภาพจาก ศูนย์ภาพเครือมติชน

เปิดผลกระทบฝุ่น PM 2.5 ทำผิวหนังอักเสบ โรคเดิมกำเริบ ระยะยาวเสี่ยงมะเร็ง แพทย์แนะวิธีป้องกันภัยจากฝุ่นและแสงแดด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ด้านแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 พร้อมด้วย พญ.ศิรินดา แจ่มจรรยา แพทย์เชี่ยวชาญสถาบันโรคผิวหนัง แถลงที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ ฝุ่น PM 2.5 สธ. ถึงสถานการณ์และการดูแลผลกระทบต่อผิวหนังจากฝุ่น PM 2.5

นพ.วรตม์กล่าวว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ล่าสุดหลายพื้นที่มีเกณฑ์ค่าฝุ่น PM 2.5 ดีขึ้น โดยอยู่ในระดับดีมาก (สีฟ้า) 14 จังหวัด ระดับดี (สีเขียว) 13 จังหวัด ระดับปานกลาง (สีเหลือง) 32 จังหวัด ส่วนจังหวัดที่ค่าฝุ่นระดับสีส้ม 37.6-75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ มี 17 จังหวัด

ซึ่งจากการคาดการณ์ในอีก 7 วันข้างหน้า สถานการณ์ฝุ่นมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในทุกภาค ยกเว้นพื้นที่ภาคเหนือ ในวันที่ 21 และวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ คาดว่าค่าฝุ่นจะอยู่ในระดับสีส้ม จึงขอย้ำประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ค่าฝุ่นอยู่ในเกณฑ์สีส้มขึ้นไป สวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งหรือทำงานที่ต้องใช้แรงมาก

ด้าน พญ.ศิรินดากล่าวถึงการรับสัมผัสฝุ่น PM 2.5 ว่า จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติและเกิดการตายของเซลล์ ส่งผลต่ออวัยวะต่าง ๆ รวมถึงผิวหนัง ซึ่งผลกระทบขึ้นอยู่กับปริมาณและความหนาแน่นของฝุ่น ระยะเวลาที่สัมผัส และความแข็งแรงของผิวหนังของบุคคลนั้น

โดยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ผิวแพ้ง่าย ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูงและสัมผัสฝุ่นเป็นเวลานาน รวมถึงกลุ่มที่มีผิวหนังบอบบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ โดยอาการที่พบในระยะสั้น คือ ผิวแห้ง ผิวหนังอักเสบ ลมพิษ สิว และโรคผิวหนังที่มีอยู่เดิมกำเริบ

ADVERTISMENT

“ส่วนในระยะยาว จะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง โครงสร้างผิวเสียหาย เกิดริ้วรอยก่อนวัย เกิดเม็ดสี ผิวหมองคล้ำ ฝ้า รอยดำ และเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ทั้งนี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มี PM 2.5 สูง หมั่นตรวจเช็กสภาวะฝุ่นในบริเวณที่อยู่อาศัย จำกัดระยะเวลาในการออกนอกอาคาร สวมเสื้อผ้าปกคลุมร่างกายให้มิดชิด ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม ทำความสะอาดผิวหนังให้สะอาดอยู่เสมอ และทาครีมกันแดดเพื่อลดผลกระทบของแสงแดด” พญ.ศิรินดากล่าว