ศาลสั่งจำคุก’หมอเปรม’ คดีแก้ผ้านักข่าว2เดือน ไม่รอลงอาญา ให้ประกันตัว 1.2 แสนบาท

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 21 มิถุนายน 2561  ที่ศาลจังหวัดพล อ.พล จ.ขอนแก่น ศาลได้มีคำสั่งนัดพิพากษาในคดีดำ เลขที่ อ.1519/60 ในข้อหาอนาจารและความผิดต่อเสรีภาพ ระหว่างฝ่ายโจทก์ คือพนักงานอัยการจังหวัดพล กับ นายก่อสิทธิ์  กองโฉม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำศูนย์ข่าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในฐานะโจทก์ร่วม กับฝ่ายจำเลย คือ นพ.เปรมศักดิ์  เพียยุระ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีตเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ที่ห้องพิจารณาคดี 2 ชั้น 2 ศาลจังหวัดพล โดยที่ฝ่ายโจทก์ และ ฝ่ายจำเลย ได้เดินทางมารายงานตัวต่อศาลตามคำสั่งก่อนที่จะเดินขึ้นไปในห้องพิจารณาคดีทันที

โดยองค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดพล ได้ใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาประมาณ  1 ชั่วโมง ก่อนมีคำพิพากษาตัดสินจำคุก นพ.เปรมศักดิ์ และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง จำเลยที่ 1 และที่ 2  ตามความผิดฐานกระทำอนาจารและความผิดต่อเสรีภาพ เป็นเวลา 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งทันทีที่องค์คณะผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ ตำรวจศาลได้เข้าทำการควบคุมตัว นพ.เปรมศักดิ์ และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง ไปในห้องควบคุมตัวผู้ต้องหาบริเวณชั้นล่างของศาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์มารับตัวไปทำการคุมขัง ตามคำสั่งศาลทันที

นายปกาญจน์  นพศรี ทนายฝ่ายโจทก์ กล่าวว่า คดีความดังกล่าวใช้เวลาในการดำเนินคดีมานานเกือบ 2 ปี ซึ่งต้องขอบคุณกระบวนการยุติธรรมของไทย ที่ได้ทำความจริงปรากฏและนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษในครั้งนี้ ซึ่งคดีความดังกล่าวนี้เป็นคดีความที่ประชาชนให้ความสนใจทั้งประเทศ โดยมีโจทก์ คือพนักงานอัยการจังหวัดพล กับ นายก่อสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าว จากการที่ นพ.เปรมศักดิ์ และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง กระทำการแก้ผ้านายก่อสิทธิ์ ภายในห้องปฎิบัติราชการ นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2559 การตัดสินจำคุก นพ.เปรมศักดิ์ และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง ครั้งนี้ศาลท่านให้เหตุผลว่า จำเลยที่ 1 และ 2 นั้นมีหน้าที่การงานที่ดี มั่นคง เป็นผู้นำท้องถิ่น และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวกับผู้อื่นอีก อีกทั้งเพื่อให้เป็นตัวอย่างต่อสาธารณชน  ทั้งนี้ ศาลได้วิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นผู้สื่อข่าว 5 คน ที่อยู่ในเหตุการณ์ใกล้ชิด มีการให้การที่สอดคล้องต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผล และไม่มีเรื่องโกรธแค้นกับจำเลยทั้ง 2 อีกทั้ง ไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีคู่แข่งทางการเมืองอยู่เบื้องหลังโจทก์ร่วมเพื่อกำจัดให้พ้นจากตำแหน่งตามที่ฝ่ายจำเลยกล่าวอ้าง การกระทำของจำเลยทั้ง 2 เป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดหลายมาตรา ให้ลงโทษในมาตราที่มีอัตราโทษสูงสุดเป็นเวลา 2 เดือน ทั้งนี้ จำเลยเคยดำรงตำแหน่ง ส.ส.4 สมัยและได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ซึ่งเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ ที่ต้องครองตนเป็นตัวอย่างแก่สังคมแต่กลับทำเรื่องเสื่อมเสียร้ายแรง เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบไม่เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั่วไป ศาลจึงพิพากษาจำคุก 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา โดยในการตัดสินดังกล่าวฝ่ายโจทก์เคารพและน้อมรับคำสั่งศาล ส่วนการจะยื่นอุทธรณ์ของฝ่ายจำเลยนั้นเป็นสิทธิที่จำเลยกระทำได้

ขณะที่นายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำศูนย์ข่าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในฐานะโจทก์ร่วม กล่าวว่า ดีใจที่ศาลให้ความยุติธรรม และให้เป็นคดีตัวอย่างเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของสื่อมวลชน และยอมรับคำตัดสินของศาลทุกประการ และมีกำลังใจที่จะทำงานเพื่อสังคมต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.2559 โดยผู้สื่อข่าวจาก 5 สำนักข่าวในจังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วย นายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ,นายปราโมทย์ ศรีบุระ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 น.ส.จิติมา  จันพรม ผู้สื่อข่าวเครือเดอะเนชั่น,นายสุพล  บุญชื่นชม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชน/ข่าวสด มีและนายปรัชญา  เทพสกุล ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์เคเคซีเคเบิ้ล ทีวี ที่ได้ติดตามทำข่าว กรณีที่มีการเผยแพร่ภาพทางโซเชียลมีเดีย เป็นภาพ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ หรือ หมอเปรม อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น นั่งคู่กับหญิงสาวชั้น ม.5 โดยที่ด้านหน้ามีพานใส่ธนบัตรจำนวนหนึ่ง และมีสำเนาทะเบียนรถยนต์เล่มสีน้ำเงินวางอยู่ 1 เล่ม พร้อมพระพุทธรูปโดยมีคนเฒ่าคนแก่กำลังผูกแขน คล้ายมีพิธีหมั้นหรือพิธีมงคลสมรสของภาคอีสาน โดยผู้สื่อข่าวทั้งหมดได้ขอพบและสัมภาษณ์หมอเปรม ภายในที่ทำการสำนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้กับหมอเปรมเป็นอย่างมาก หมอเปรมจึงได้วางแผนหลอกให้ผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักเข้าไปภายในห้องทำงานของนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งหมดเข้าไปภายในห้องดังกล่าว กลับถูก หมอเปรมสั่งเจ้าหน้าที่เทศบาลซึ่งเป็นลูกน้อง เก็บโทรศัพท์ มือถือ กล้องถ่ายภาพของ ผู้สื่อข่าวทั้งหมด พร้อมกับล็อกตัวผู้สื่อข่าว นสพ.เดลินิวส์ ประจำ จ.ขอนแก่น แก้ผ้าประจาน

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พ.ค.2559 ผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนัก จึงเดินทางจึงแจ้งความเอาผิดกับหมอเปรม พร้อมพวกรวม 7 คน ที่ สภ.บ้านไผ่ ในข้อหา “ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยว บังคับข่มขืนจิตใจ ให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการ และกระทำการอนาจารต่อหน้าธารกำนัล” ซึ่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านไผ่ ได้สรุปสำนวนคำฟ้องส่งให้กับอัยการจังหวัดพล เมื่อเดือน พ.ย.2559

และเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 ทางอัยการจังหวัดพลได้มีความเห็นสั่งฟ้องเฉพาะ นพ.เปรมศักดิ์ กับ ร.ต.บัวทอง เพียง 2 คนเท่านั้น ส่วนผู้ต้องหาอีก 5 คนที่ร่วมกันกระทำผิดกับหมอเปรมทางอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า จากการตรวจสอบสำนวนที่ตำรวจเสนอมา พบว่าบางคนก็ไม่อยู่ในข่ายร่วมการกระทำกับหมอเปรม  ขณะที่ฝ่ายโจทก์ที่ยื่นฟ้องหมอเปรมคือผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักข่าวนั้น อัยการมีความเห็นว่าผู้สื่อข่าวจาก 4 สำนักไม่ใช่ผู้เสียหาย มีเพียงนายก่อสิทธิ์ ที่โดนถอดกางเกงคนเดียวเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย จึงทำให้ข้อหาที่ยื่นฟ้องไปคือ “ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยว บังคับข่มขืนจิตใจ ให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด” จึงเป็นอันตกไป อัยการจึงสั่งฟ้องในข้อหา “ข่มขืนใจ บังคับขู่เข็ญทำให้ตกใจกลัว และกระทำการอนาจารต่อหน้าธารกำนัล” โดยได้มีการไต่สวนตามกระบวนการของศาลและนัดฟังคำพิพากษาในคดีความดังกล่าวในวันนี้

ซึ่งภายหลังจากการอ่านคำพิพากษา หมอเปรมได้ให้ทนายขอยื่นประกันตัว ซึ่งทางศาลได้ให้ประกันตัวในวงเงิน คนละ 120,000 บาท โดยทนายได้นำหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินยื่นประกันตัว โดยทั้งนี้ ศาลได้ให้โจทก์สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งภายหลังจากยื่นประกันเรียบร้อย หมอเปรม พร้อมเลขาฯ หลบผู้สื่อข่าวออกทางด้านหลังไปทันที โดยไม่ยอมเปิดเผยใดๆ

 

ที่มา:มติชนออนไลน์