BRG แนะโอกาสการลงทุนเทคโนโลยี-จับคู่ M&A ในไทย ในยุคสหรัฐบี้จีน

BRG แนะโอกาสลงทุนเทคโนโลยีในไทย

BRG Thailand แนะการวางแผนการลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาทั้งในแง่ของโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ในยุคที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมที่เติบโตเร็ว มีการลงทุนจากบริษัทของสหรัฐและจีน แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องคอร์รัปชั่นและสงครามการค้าโลก

นายวรพงษ์ สุธานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบิร์กลีย์ รีเสิร์ช กรุ๊ป หรือ BRG Thailand เปิดเผยว่า สงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ภายใต้มาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

โดยพบว่า ท่ามกลางการชิงไหวชิงพริบของประเทศมหาอำนาจ 2 ฝ่าย หนึ่งในพื้นที่ที่มีการช่วงชิงการเป็นผู้นำการลงทุนมีจุดโฟกัสอยู่ที่ตลาดเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือภูมิภาคที่มีความร่วมมือทางการค้าอย่างแนบแน่นในนามของอาเซียน 10 ประเทศ

“คาดว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่มีความสำคัญยิ่งขึ้น ทั้งในเชิงกลยุทธ์และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี”

ทั้งนี้ BRG มีข้อมูลการลงทุนจากสหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการฝึกอบรมบุคลากรอย่างครอบคลุม ได้แก่ Google มีการลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในศูนย์ข้อมูลและระบบคลาวด์ในประเทศไทยในปี 2024

Microsoft มีการลงทุน 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โครงการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ AI และโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ในมาเลเซีย, NVIDIA มีการเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาในเวียดนาม, Amazon เพิ่มงบฯลงทุน 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับระบบคลาวด์ในสิงคโปร์

ADVERTISMENT

ขณะที่การลงทุนจากจีนโดย Huawei ลงทุนศูนย์ข้อมูลในไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัล, Tencent มีการลงทุน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ของอินโดนีเซีย และ TikTok ได้ควบรวมกับ Tokopedia ของอินโดนีเซีย ช่วงต้นปี 2024

นายวรพงษ์กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงและโอกาสนั้น จากนโยบายภาษีของทรัมป์ ทำให้แนวโน้มภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น และสงครามการค้ากับจีน อาจผลักดันให้บริษัทสหรัฐ มองหาแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ADVERTISMENT

ขณะที่การแข่งขันด้านการลงทุน พบว่า ตลาดอาเซียนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของจีน ดังนั้น การแข่งขันระหว่างสหรัฐและจีน อาจนำไปสู่สงครามเศรษฐกิจในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันว่า หนึ่งในปัจจัยกดดันมาจากประเด็นเรื่องการคอร์รัปชั่นและทุจริต ที่นับเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางทางธุรกิจ โดยสถานการณ์หลังโควิด-19 เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นตัวแบบไม่เท่ากัน จะเห็นว่าภาคเทคโนโลยีปรับตัวได้ดีจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ภาคพลังงานได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และภาคการผลิตต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและห่วงโซ่อุปทานที่ไม่แน่นอน

นอกจากนี้ การปกปิดผลขาดทุนทางการเงินในช่วงโควิด-19 ทำให้ปัญหาทุจริตและคอร์รัปชั่นเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น เช่น ในสิงคโปร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทค้าน้ำมันถูกตัดสินจำคุกเกือบ 20 ปีจากคดีทุจริต ส่วนไทยมีคดี Stark Corporation ที่กลายเป็นหนึ่งในคดีทุจริตที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

และในเวียดนาม Truong My Lan ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตจากการยักยอกและฉ้อโกงเงินรวมกว่า 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก Saigon Commercial Bank

ดังนั้น ปัญหาทุจริตและคอร์รัปชั่นในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออำนาจทางการเมืองยังคงอยู่ในมือของตระกูลที่มีอิทธิพล เช่น ตระกูลมาร์กอสในฟิลิปปินส์ ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของรัฐ ส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องระบบอุปถัมภ์และการบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตย

แม้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีศักยภาพในการเติบโตสูงและเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ แต่ความเสี่ยงจากปัญหาทุจริตและการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ นักลงทุนจึงควรพิจารณาทั้งโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในภูมิภาคนี้

นายวรพงษ์กล่าวต่อว่า ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่อาจมองข้ามปัญหาคอร์รัปชั่นและการขาดความโปร่งใสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังยุคโควิด-19 ที่บางบริษัทอาจตกแต่งงบการเงินหรือบิดเบือนข้อมูลด้าน ESG เพื่อดึงดูดการลงทุน

ดังนั้น หากไม่มีการตรวจสอบสถานะทางธุรกิจอย่างละเอียด พฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสเหล่านี้อาจนำไปสู่ความเสียหายทางการเงินได้

และเพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืน นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสถานะทางธุรกิจ (Integrity Due Diligence) และเลือกพันธมิตรทางธุรกิจที่มีค่านิยมและจริยธรรมที่สอดคล้องกัน อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงนี้เป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ ควรเลือกคู่ค้าอย่างรอบคอบเพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน

“แม้ว่าแนวโน้มการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2025 จะสดใส แต่การเลือกพันธมิตรทางธุรกิจอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปกป้องการลงทุนและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น”

หันกลับมามองทิศทางการลงทุนในประเทศไทย นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์ให้ทันกระแสการเปลี่ยนแปลง เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน

โดยมาตรการปราบปรามการใช้นอมินีในธุรกิจสีเทาของรัฐบาลไทยที่ดำเนินการอย่างเข้มข้นในปัจจุบัน กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจต่างชาติ ที่เคยใช้นอมินีไทยในการถือหุ้นเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย แม้ในอดีตวิธีนี้จะเป็นที่นิยม แต่เมื่อกฎระเบียบเข้มงวดขึ้น การดำเนินธุรกิจในไทยจึงเผชิญความท้าทายมากขึ้น

ทำให้แนวทาง ควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเป็นโครงสร้างที่โปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างมั่นคง

อย่างไรก็ตาม การปิดดีล M&A ไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป การตรวจสอบสถานะด้านความโปร่งใส (Integrity Due Diligence) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

สิ่งสำคัญคือ การประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจหลังการควบรวม (Post-deal Business Risk Review) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความท้าทายและปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดจากข้อตกลง