ECOLIFE เวอร์ชั่น 3 แพลตฟอร์มชวนรักษ์โลก ฝีมือคู่รักศิลปิน ‘ท็อป-นุ่น’

ด้วยวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงการปรับพฤติกรรมใส่ใจสุขภาพ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมชัดเจนขึ้น ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา คู่รักศิลปิน ซึ่งได้รับการยอมรับว่า เป็นศิลปินรักษ์สิ่งแวดล้อม และได้ผันตัวเองมาสู่การดำเนินกิจการเพื่อสังคม โดยก่อตั้งบริษัท คิดคิด จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม “ECOLIFE”

ท็อปและนุ่น เริ่มเข้าสู่วงการด้านความยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2008 โดยเริ่มจากการเปิดร้าน ECOSHOP ถือเป็นร้านที่รวบรวมสินค้าออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมร้านแรกในประเทศไทย พร้อมกับการมีพนักงานขายที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน จากนั้นได้ขยายเป็นศูนย์การเรียนรู้งานออกแบบที่เป็นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และในปี 2011 ทั้งคู่ ได้ก่อตั้งบริษัท คิดคิด จำกัด การให้บริการสำหรับองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการดำเนินงาน และสื่อสารภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนออกสู่สาธารณะ

ทั้งนี้ ได้มีการออกแบบและจัดทำแพลตฟอร์ม ECOLIFE ตั้งแต่ปี 2015 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลและสร้างแรงจูงใจคนไทยปรับพฤติกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ภายใต้หลักการ ESG คือ แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไม่หวังเพียงแค่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักทั้งด้านสิ่งแวดล้อม(Environmental) คือ การจัดการการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด รวมถึงการประเมินด้วยตัวชี้วัด เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปล่อยมลพิษ การจัดการของเสีย การลดการใช้พลังงานไฟฟ้า การรีไซเคิล เป็นต้น ด้านสังคม(Social) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อาทิ พนักงาน ลูกค้า ชาวบ้าน รวมถึงความไว้ใจจากลูกค้าและธรรมาภิบาล(Governance) ที่ให้ความสำคัญความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ การต่อต้านทุจริต ผลประโยชน์ที่เป็นธรรม การเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาให้ทุกขั้นตอน สามารถตรวจสอบได้ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและศักยภาพธุรกิจให้เติบโตได้ในระยะยาว

ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา คู่รักศิลปิน เริ่มต้นทำเรื่องสิ่งแวดล้อมจาก Passion ที่เชื่อว่า “เราทุกคนมีสิทธิอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่สิทธินั้นควรมาพร้อมหน้าที่ที่ทุกคนต้องช่วยกัน” โดยตลอด 14 ปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ร่วมกันเปิดบริษัท คิดคิด จำกัด เพื่อทำเรื่องความยั่งยืนเพียงอย่างเดียวมาโดยตลอด รวมถึงการเป็นแบบอย่าง ให้การปรับพฤติกรรมเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องง่ายที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเช่น การใช้ถุงผ้าและกระบอกน้ำติดตัวไปตลอด การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ การแยกขยะง่ายๆ การประหยัดไฟฟ้า ประปา การเลือกที่อยู่ใกล้ที่ทำงานเพื่อสามารถเดินไปทำงานได้

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นปรับพฤติกรรม ทั้งคู่แนะนำให้เริ่มจากเรื่องง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ก่อน และมองข้อดีของการได้ทำสิ่งนั้น เช่น ใช้กระบอกน้ำแล้วได้ส่วนลด เย็นนาน น้ำไม่เกาะข้างแก้ว ไม่เลอะโต๊ะ เราได้ประโยชน์พร้อมกับการลดการใช้พลาสติก(แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง) ที่เป็นที่มาของขยะในบ่อฝังกลบและในทะเล โดยกว่าจะย่อยสลายต้องใช้เวลาประมาณ 450 ปี แถมเรายังได้ช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์อีกด้วย

ปัจจุบันทั้งคู่เห็นว่า “ประเทศไทยได้สร้างการรับรู้(awareness)ให้คนไทยมามากมาย เราทราบเรื่องที่ทำแล้วจะดีกับสิ่งแวดล้อม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับจากการรับรู้(awareness) ให้กลายเป็นลงมือทำ(action) มากขึ้น เพราะผู้บริโภคเองก็อยากมีส่วนร่วมด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับแบรนด์มากกว่าแค่รอรับฟังข่าวสาร รวมถึงการตอบข้อสงสัยของผู้บริโภค โดยเฉพาะแบรนด์ที่ประกาศตัวเรื่องความรักษ์โลกของสินค้าและบริการของตนเอง หรือองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน ที่เลือกหัวข้อการปฏิบัติจาก ESG, SDGs, BCG ก็ควรจะให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆขององค์กร เพื่อทำควบคู่ทั้งภายในและรณรงค์กับบุคคลภายนอกด้วย”

“คิดคิด” Sustainable Innovation Agency คือ เอเจนซีแบบ 360 องศาที่เชี่ยวชาญเรื่องความยั่งยืน และเราได้พัฒนา ECOLIFE แพลตฟอร์มเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้คนและสามารถวัดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับโซเซียลมีเดียที่มีผู้ติดตามประมาณ 5 แสนราย โดยกลยุทธ์ในปี 2568 นี้ “คิดคิด” ต้องการชู ECOLIFE เพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยเสริมการทำการตลาดแบบยั่งยืน (Sustainable Marketing) โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีของลูกค้ากับแบรนด์ทั้งประเภทสินค้าและบริการ ด้วยการเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นนิสิต นักศึกษาทั่วประเทศ และอีกกลุ่ม คือ พนักงานทุกระดับในองค์กร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถทำกิจกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมตามที่องค์กรกำหนดได้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมการเก็บข้อมูลของพนักงาน เพื่อนำไปประกอบรายงานและประชาสัมพันธ์

ECOLIFE version 3 พัฒนาเป็น Web Application สามารถเข้าใช้งานผ่าน LINE OA @ecolifeapp เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อย ลูกค้าจะสามารถดูโจทย์ของแต่ละแบรนด์ เช่น แบรนด์ชวนคืนบรรจุภัณฑ์หรือแยกขยะ ร้านอาหารให้ลูกค้าทานให้หมดจาน ร้านกาแฟให้ลูกค้านำแก้วมาเอง เมื่อลูกค้าทำกิจกรรมและบันทึกข้อมูล ลูกค้าจะได้คะแนนเพื่อแลกรับสิทธิประโยชน์ที่แบรนด์จัดสรรให้กับลูกค้า(ระบบ Gamification) แต่ถ้าเป็นพนักงานองค์กรแล้วได้ทำกิจกรรมตามโจทย์ที่องค์กรกำหนด แพลตฟอร์ม ECOLIFE จะมีระบบช่วยตรวจสอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของข้อมูลให้ฝ่ายบุคคล(HR) มากขึ้น

เป้าหมายที่นอกจากสร้างการมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ยังคำนึงเรื่องรายได้เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนและเติบโตต่อเนื่องทุกปี จึงได้ร่วมกับแบรนด์และองค์กรที่หลากหลาย อาทิ TikTok ต้องการส่งเสริมให้เด็กไทยได้แยกขยะ ทีมงานคิดคิดตั้งโครงการ Re Act for Change ด้วยการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ทำการจัดงานเปิดตัว การออกแบบรถเพื่อวิ่งประชาสัมพันธ์ตามสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ ประสานความร่วมมือทุกโรงเรียนเพื่อบันทึกข้อมูลใน ECOLIFE การจัดงานมอบประกาศนียบัตรและรางวัลให้โรงเรียนและคุณครู รวมถึงการใช้ TikTok เพื่อทำ Challenge และประชาสัมพันธ์ โดยได้ผู้ร่วมชมคลิป(view) 251.4 ล้านวิว

เมื่อสรุปโครงการฯ จึงเกิดความร่วมมือกับโรงเรียนในสังกัดกทม. จำนวน 231 แห่ง แยกขยะได้ 369,739 กิโลกรัม และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 914,811 kgCo2eq อีกตัวอย่างคือ โครงการ GreenHub ของไปรษณีย์ไทย โดยบริษัท คิดคิด จัดการตั้งแต่เรื่องการออกแบบโลโก้ ที่ใส่ขยะรีไซเคิลที่เหมาะสม การแต่งเพลงประจำโครงการฯ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ทั้งรูปแบบ Online และ Offline เพื่อเป็นจุดรับขยะรีไซเคิลและส่งต่อไปจัดการให้ถูกต้อง ด้วยระยะเวลาประมาณ 6 เดือนได้แยกขยะไปแล้ว 25,356 กิโลกรัม และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 93,772 kgCo2eq และยังคงดำเนินการในการสร้างความร่วมมือพร้อมรวบรวมขยะรีไซเคิลเพื่อนำไปจัดการให้เกิดประโยชน์กับสังคมต่อไป

ในปี 2568 ถือเป็นปีของ ECOLIFE version 3 ที่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภค อีกด้านคือ องค์กรที่ต้องการขยับขยายไปในส่วนของการสร้างวัฒนธรรมด้านความยั่งยืนจากพนักงานของตนเอง ควบคู่ไปกับการใช้พลังงาน การขนส่ง และการปรับวิธีการดำเนินธุรกิจในทุกรูปแบบ เพื่อบรรลุเป้าหมาย สร้างแรงกระเพื่อมด้านความยั่งยืน ก่อนขยายผลไปยังกลุ่มอื่นๆอาทิ โรงพยาบาล วัด ตลาด ชุมชน ในอนาคต

พร้อมทั้ง มองหาผู้ร่วมทุนที่มองเห็นโอกาสในการเติบโต และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาและการสร้างนวัตกรรมด้านความยั่งยืน ที่ทุกคนสามารถลงทะเบียนได้ฟรีแบบง่ายๆ ทาง LINE OA @ecolifeapp แล้วอย่าลืม Action เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นหรือรับสิทธิประโยชน์กับเรา แล้วถ้าคุณอยากเห็นผลภาพรวมของแบรนด์ และองค์กรต่างๆ ติดตามได้ทาง www.ecolifeapp.com และยังสามารถรับชมเนื้อหาสิ่งแวดล้อมที่ดูสนุกและเข้าใจง่ายได้ทางช่องทางโซเชียลมีเดียของ ECOLIFE อีกด้วย