ดวงฤทธิ์ ชี้ ไทยพาวิลเลียน 2025 มาตรฐานงานข้าราชการ เล่าประสบการณ์แหกวงฮั้ว

ดวงฤทธิ์ บุนนาค

สถาปนิกชื่อดัง ชี้ Thailand Pavilion 2025 เป็นมาตรฐานการจัดงานของข้าราชการ พร้อมเผยประสบการณ์ประกวดงานออกแบบแหกวงฮั้ว เล่าเผื่อสถาปนิกรุ่นใหม่รับรู้ ในอดีตวงการเราเคยเน่าเฟะเพียงใด การคอรัปชั่นฝังรากลึก และทรงอิทธิพลเป็นวงกว้าง

จากกระแสงานของคนไทยที่ไปแสดงไกลถึงระดับโลกอย่าง Thailand Pavilion World Expo 2025 จัดขึ้นที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น โดยกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ถึง 13 ตุลาคม 2568 ได้รับเสียงวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักจากโลกออนไลน์ที่ส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่ว่า งบหลักร้อยล้านที่จัดงานนิทรรศการในครั้งนี้ไม่คุ้มค่าพอสำหรับเนื้องานที่ออกมาให้เห็น

ขณะที่อีกฝั่งก็ยังคงมีหลายคนชื่นชมในผลงานการจัดแสดงครั้งนี้ เนื่องจากเป็นงานที่จัดแสดงด้วยความยิ่งใหญ่ เพื่แแสดงให้เห็นความสวยงามของศิลปะความเป็นไทยผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่นและนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากภูมิปัญญาไทย รวมถึงทางฝั่งสถาปนิก หรือเจ้าของบริษัทออแกไนซ์ก็ออกมาให้ความเห็นกับงานดีเป็นจำนวนมาก

ทำให้ในตอนนี้ไทยพาวิลเลี่ยนได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม เนื่องจากมีการพาดพิงและพูดถึงในหลายประเด็น ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นความเห็นของดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและนักออกแบบชาวไทย หนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และผู้ก่อตั้ง บริษัท ดวงฤทธิ์ บุนนาค จำกัด (DBALP) ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดงานตามกระบวนการของราชการไทย ใจความว่า

การทำงานในครั้งนี้เป็นมาตรฐานการจัดการของกระบวนการราชการ ที่ดูยุ่งยากเนื่องจากมีการบังคับให้ประมูล หากมีคนที่อยากร่วมงานอยู่แล้วถึงหาวิธีที่ไม่ต้องประมูล เขาจึงเสนอว่า หากจะจ้างเอกชนที่มีความสามารถคงต้องแก้ระเบียบใหม่ และพิสูจน์ PQ กันแล้วจึงตัดสินใจจ้าง ซึ่งการทำงานแบบนี้เป็นเส้นทางเดียวกับที่เขาประกวดการออกแบบสนามบิน

เขาเล่าย้อนกลับไปว่า ในอดีตงานออกแบบสนามบินของเขาถูกยกเลิกครั้งที่ 1 เนื่องจากมีการนัดแนะกันของบริษัทอื่น ๆ ที่ทราบมาก่อนแล้วว่า ระเบียนการจะถูกแก้ไข ทำให้ค่าแบบงานเพิ่มขึ้นจาก 300 ล้านเป็น 1,000 ล้านบาท แต่ทางผู้จัดงานอย่าง AOT ไม่อยากจ่ายในราคาสูงจึงเรียกประกวดรอบที่ 2 ดวงฤทธิ์จึงยื่นแบบประกวดและได้รับการพิจารณา

ADVERTISMENT

ซึ่งการกระทำของเขา นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้วงการแล้ว ยังรวมถึงผู้ทรงอิทธิพลอีกด้วย การชนะการประกวดของในครั้งที่ได้รับการเห็นชอบจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการกลับลำทางความเห็นปละมีการโจมตีงาน บีบบังคับให้ AOT ยกเลิกงานไป

อย่างไรก็ตาม ดวงฤทธิ์ ระบุว่า เขาไม่ได้คาดหวังอะไรจากโพสต์ในครั้งนี้ เพียงต้องการบอกให้สถาปนิกรุ่นหลังทราบว่า วิชาชีพของเรามันเคยเน่าเฟะแค่ไหน และวงจรอุบาทของการคอรัปชั่นฝังรากลึก และทรงอิทธิพลเป็นวงกว้างเพียงใด โดยมีข้อความฉบับเต็มผ่านเฟซบุ๊ก Duangrit Bunnag ระบุว่า

“อันนี้เป็นอีกหนึ่งท่ามาตรฐานของการจัดการมาเพื่อให้ได้งาน ตามวิธีในกระบวนการราชการนะครับ มันดูยุ่งยากเพราะระเบียบเขาบังคับให้ประมูล ถ้าเขาอยากจะใช้คนนี้ทำงานอยู่แล้ว ก็ต้องหาวิธีทำให้ไม่ต้องประมูล ผมถึงบอกว่าถ้าจะจ้างเอกชนที่เขามีความสามารถ แก้ระเบียบใหม่ให้ไม่ต้องประมูลไปเลยมั้ย พิสูจน์ PQ กันไปเลย แล้วก็จ้างเลย สะดวกดี

เส้นทางนี้ เป็นเส้นทางเดียวกับที่ผมเดินตอนประกวดแบบสนามบินนะครับ ตอนที่ยกเลิกการประกวดแบบครั้งที่ 1 บริษัทที่เขานัดกันแล้วว่าจะเข้ามารับงานในการคัดเลือกครั้งที่ 2 เขาก็นัดกันแล้วให้ไม่ส่งราคาครั้งที่ 1 เพราะเขารู้ว่าระเบียบกำลังจะถูกแก้ เพิ่มค่าแบบจาก 300 ล้านขึ้นไปเป็น 1,000 กว่าล้าน ก็เลยพยายามจะล้มการประกวดแบบไปเรื่อย ๆ จนกว่าระเบียบพัสดุเรื่องค่าแบบจะถูกแก้

แต่ AOT เขาไม่อยากจ่ายค่าแบบแพง เขาจึงรีบเรียกประกวดแบบรอบ 2 ผมทราบข่าวนี้เข้า ก็เลยตั้งใจ “กวนตีน” กลุ่มที่เขานัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ยื่นประกวดแบบ ทีนี้พวกเขาก็เลยร้อนรนกัน เพราะไม่คิดว่าผมจะแต่งตัว PQ ผ่านได้ แต่ผมก็ได้ partner ที่แข็งมาก ก็เลยทำให้กลุ่มที่ว่าต้องรีบยื่นซองตามเข้ามา เพราะถ้าผมยื่นรายเดียว ผมก็สามารถได้รับการพิจารณาได้ เพราะเป็นการยื่นครั้งที่ 2

การที่ผม “แหกวงฮั้ว” ในครั้งนั้น สร้างความเดือดร้อนในวงการเป็นอย่างมาก แต่คนที่ทรงอิทธิพลในวงการช่วงนั้น เขาก็ย่ามใจจริง ๆ ฮั้วเอางานไม่พอ ยังดึงเช็งรอให้ระเบียบค่าแบบขึ้นอีก ผมก็ทำเขาวุ่นวายกันพอตัว ต้องตั้ง Facebook page ขึ้นมาปล่อยข่าวเรื่องไม่เป็นไปตามผังแม่บท

ซึ่งทำ TOR ประกวดแบบนี่ TDRI ก็เห็นชอบแล้วนะครับ พอผมชนะประกวดแบบนี่ ออกมาให้ความเห็นกลับลำเฉย น่าจะเป็นเพราะ รมว.คมนาคมขณะนั้น เป็นนายเก่า-ลูกน้องกัน ทั้งสมาคมสถาปนิกสยามฯ และสภาสถาปนิก ก็รับลูกทางราชการ ออกมาโจมตีงานประกวดแบบที่ชนะ บีบให้ AOT ต้องยกเลิกการประกวดแบบไป แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย

เขียนมาเล่าให้ฟังเนี่ย ไม่ได้จะหวังผลอะไรเลยนะครับ เรื่องราวมันก็ผ่านไปนานละ แต่อย่างน้อยคนสถาปนิกรุ่นหลัง ๆ จะได้รู้ว่าวิชาชีพเรามันเคยเน่าเฟะขนาดไหน และวงจรอุบาทว์ของคอรัปชั่นนี่ มันลึกในระบบและส่งอิทธิพลกว้างขวางได้แค่ไหน ทั้งนายกสมาคมฯและนายกสภาฯในเวลานั้น ผมก็สาบแช่งไว้เลยว่าไม่ขอเผาผีกัน อย่าให้วนมาเจอกันอีกชาตินี้ก็คือพอใจละ”