
สส.พรรคประชาชน สะกิดดราม่าที่ปรึกษากรมอุทยานฯ ที่คนให้ความสนใจ สะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมในไทยยังได้รับการจัดการไม่ดี ท้วงโลกลืมรัฐมนตรีมีหน้าที่โดยตรงแต่ไม่เทกแอ็กชั่น แม้แต่ในพื้นที่ฐานเสียงหลัก เรียกร้องให้เห็นคุณค่ามหาศาลของธรรมชาติที่อาจหมดไป หากไม่ได้รับการแก้ไข
นิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ เครือข่ายภาคเหนือ พรรคประชาชนพูดถึงประเด็นดราม่าในกระแสที่คาดว่าจะไม่จบลงง่าย ๆ ของทราย สก็อต ที่ปรึกษากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่า มีประเด็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเรื่องนี้ คือ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกพูดถึงเลยในกระแสดราม่านี้ ใจความว่า
กระแสดราม่าในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่าของไทยไม่ได้ถูกจัดการอย่างเหมาะสม แทนที่ทรัพยากรทรงคุณค่านี้จะสร้างมูลค่าให้กับเรา แต่กลายเป็นปัญหาความไร้ระบบและประสิทธิภาพ โดยคนที่ควรออกมารับผิดชอบ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่เรากลับไม่รู้เลยว่า เขาคือใคร
กรณีของการท่องเที่ยวทางทะเลที่ควรมีการเก็บรายได้จากการเข้าชมอุทยานฯ ที่ดี แต่กลับไม่สามารถทำได้ ทำให้รายได้มหาศาลที่ควรได้รับหลุดหายไป ซึ่งอาจจะมากกว่ารายรับหลักพันล้านที่มีอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ระดับชาติอย่างฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยประสบภัยจากหมอกควันข้ามพรมแดน หรือการระบาดของปลาหมอคางดำ ทำลายระบบนิเวศของแม่น้ำหลายสายในประเทศไทยก็ไร้เงา หรือท่าทีของผู้รับผิดชอบก็ไร้เงา
ซ้ำร้ายปัญหาจากโครงการเขตเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ที่กระทบทั้งสิ่งแวดล้อมและผู้คนในพื้นที่ฐานเสียงหลักของพรรครัฐมนตรีก็ไม่มีการออกมาแสดงจุดยืนใด ๆ ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย คือ ต้นทุนที่ทรงคุณค่า แต่หากอยู่ในมือคนที่ไม่ใส่ใจก็อาจถูกทำลาย และหมดไปอย่างน่าเสียดาย
ข้อความฉบับเต็มระบุผ่านเฟซบุ๊ก นิติพล ผิวเหมาะ ว่า “ปัญหาที่ใหญ่กว่าดราม่า ทราย สก็อต คือเรามีรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมที่โลกลืม”
จากกระแสดราม่าของคุณทราย สก็อต ผมคิดว่าเรื่องสำคัญที่ใหญ่กว่าคือ กรณีเหล่านี้กำลังสะท้อนว่าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันทรงคุณค่าของเรานั้นไม่ได้ถูกจัดการอย่างเหมาะสม และเป็นความน่าเสียดายอย่างยิ่ง
เพราะแทนที่คุณค่าเหล่านั้นจะได้สร้างมูลค่ามหาศาลมากกว่าที่เป็นอยู่กลับกลายเป็นเรื่องของความไร้ระบบอย่างจงใจ เพื่อให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพ อาศัยช่องว่างฉกฉวยหาประโยชน์ ซึ่งผู้ที่ควรจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมครับ
แต่ช่างน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าเราจะมีปัญหาสิ่งแวดล้อมหนักขนาดไหน กลับแทบไม่มีใครนึกออกเลยว่ารัฐมนตรีคือใคร สะท้อนอย่างยิ่งถึงความไร้ความสามารถที่จะดูแลทรัพยากรมูลค่ามหาศาล แต่เหมือนมาได้เพราะดีลแลกผลประโยชน์อะไรกันมาเท่านั้น
เอาเฉพาะเรื่องทะเล หลายคนกังขามากครับว่าแต่ละปีเราน่าจะเก็บรายได้จากการเข้าชมอุทยานฯ ทางทะเลได้ดีกว่านี้ แต่ระบบ E-Ticket ร่วมกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ควรจะนำมาใช้นับปริมาณจริงของนักท่องเที่ยว รวมกับใช้เพื่อบริหารจัดการปกป้องทรัพยากรทางทะเล กลับไม่ยอมทำให้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บางวันใช้ได้ บางที่ใช้ไม่ได้ จนทำให้รายได้ที่น่าจะเก็บได้ต้องรั่วไหลไปปีละมหาศาล ซึ่งน่าจะมากกว่าเท่าตัวของรายได้หลักพันล้านที่เราเก็บได้ตอนนี้เสียอีก
ยังไม่นับปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่ใหญ่ระดับชาติหรือถึงระดับภูมิภาคอาเซียนที่ควรเห็นบทบาทของรัฐมนตรีบ้าง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นพิษข้ามพรมแดนจากการเผา หรือกรณีการระบาดของปลาหมอคางดำที่กำลังทำลายระบบนิเวศของแม่น้ำลำคลองหลายแห่งอย่างรุนแรง รวมถึงกรณีแม้น้ำกก แม่น้ำสายปนเปื้อนสารพิษจากเหมือง แม้ต้นทางจะมาจากเพื่อนบ้าน
แต่ในฐานะผู้รับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมก็ควรต้องมีท่าทีบ้าง ขณะที่เรื่องสำคัญและจะส่งผลกระทบต่อภาคใต้ฐานเสียงหลักของพรรคท่านรัฐมนตรี อย่าง SEC หรือโครงการเขตเศรษฐกิจภาคใต้ที่จะส่งผลต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตคนใต้อย่างรุนแรง ก็ไม่เห็นบทบาทของท่านจะทำอะไรสักแอะเดียว ไม่เหลือสภาพพรรคที่เคยถือธงนำขับไล่อดีตพ่อนายกฯ มาก่อนเลย
ถ้าผมเป็นใต้ตอนนี้ก็คงสับสนกับบทบาทพวกท่านน่าดูเหมือนกัน ที่ยอมเอาทรัพยากรของคนใต้ไปแลกกับการได้มียศมีตำแหน่ง จนไม่กล้าที่จะแสดงจุดยืนใด ๆ เพื่อปกป้องฐานทรัพยากรไว้ให้ลูกหลานเลย
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านเรา คือต้นทุนอันทรงคุณค่าและเปี่ยมด้วยมูลค่าครับ แต่หากอยู่ในมือคนที่ไม่ใส่ใจ ขอแค่มีตำแหน่ง มีผลประโยชน์ไปหล่อเลี้ยงระบบอุปถัมภ์ ต้นทุนของเราก็มีแต่ถูกทำลายและอาจหมดไปอย่างน่าเสียดาย