เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. เวลา 08.35 น. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชผู้ฝึกสอน รวม 13 คน ที่หายเข้าไปใน ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ว่ายังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยอมรับว่าปริมาณน้ำไปถ้ำนั้นเพิ่มมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ได้พยายามสูบน้ำออกแล้วแต่ยังมีน้ำซึม
“ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้แบ่งการทำงานเป็น 2 ส่วน คือ การดำน้ำเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งวันนี้ยังคงตั้งใจดำน้ำเข้าไปหาเป็นระยะๆ และใช้เชือกกั้นหมายแนวเอาไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ชุดหลังไม่ต้องคลำหาทาง ซึ่งขณะนี้พยายามจะหาเด็กให้ได้ก่อนที่จะหาทางนำตัวเด็กออกมา และหาช่องทางเข้าด้านบนเขาด้านนอก ก็ยังประสบปัญหาเรื่องหมอก ทำให้เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถบินขึ้นได้ ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น และจะจัดชุดเจ้าหน้าที่เข้าไปให้มากที่สุดเพื่อจะหาช่องทางใหม่”
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
ส่วนเครื่องสูบน้ำที่หลายหน่วยงานระดมเข้ามาช่วยเหลือจำนวนมากและมีหลายแบบนั้น พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ก็ยังไม่สามารถนำเข้าถ้ำได้ เพราะยังกังวลเรื่องการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปอีก ขณะที่เครื่องสูบน้ำที่เข้าไปได้มีเพียงระบบไฟฟ้า ทำให้เมื่อวานนี้เสียเวลาไปกับการเดินสายไฟทั้งวัน
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทำทุกวิถีทางตามคำแนะนำเพื่อช่วยเหลือออกมา โดยวันนี้ทุกคนก็หวังว่าจะพบข่าวดี และตนเองก็เชื่อมั่นว่าเด็กปลอดภัย เพราะเด็กเคยเข้ามาในถ้ำนี้และเด็กมีร่างกายแข็งแรง แต่เจ้าหน้าที่ต้องเร่งเข้าไปช่วยเหลือด้วย
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยถึงเรื่องนี้ และทรงมีกระแสรับสั่งให้จัดระเบียบบุคคลที่จะเข้าไปในพื้นที่เพื่อไม่ให้กระทบกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาที่จัดระเบียบแต่อาจจะยังไม่ดีพอ โดยวันนี้จะเข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น”
ขณะที่นายวีรศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุถึงแผนป้องกันที่จะให้ไม่เกิดเหตุเหมือนกับกรณีดังกล่าวว่า ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวในทุกพื้นที่ในประเทศไทยร่วมมือกับหน่วยงานในท้องถิ่นช่วยกันสำรวจแหล่งท่องที่เป็นการผจญภัย และอะไรคือความเสี่ยงที่จะต้องดูแล รวมถึงการทำข้อมูลว่าปัจจุบันยังขาดสิ่งใดหรือไม่ นอกจากนั้นยังต้องสื่อสารกับท้องถิ่นและฝ่ายป้องกันภัยพลเรือนเพื่อนทำแผนป้องกัน และมีการซักซ้อมเป็นช่วงๆ เพื่อเตรียมรับมือกับภัยภิบัติทางธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับแหล่งท่องเที่ยว
ทั้งนี้หลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวฯ จะมอบหมายให้ปลัดกระทรวงฯ แต่งตั้งคณะทำงานร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ในการจัดทำข้อมูลเป็นแผนที่ที่สามมารถใช้ในการท่องเที่ยว และเป็นเส้นทางบอกข้อมูลได้เพื่อบูรณาการใช้ประโยชน์ต่อไป
สำหรับในประเทศไทยนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวแบบผจญภัยประมาณ 4,800 แหล่ง
