ปธ.สมาพันธ์แชร์ลูกโซ่ นำเหยื่อค้านประกันตัวหากคดีลงทุน“โอดีแคปปิตอล”สู่ศาล

ปธ.สมาพันธ์แชร์ลูกโซ่ นำเหยื่อค้านประกันตัวหากคดีลงทุน “โอดีแคปปิตอล” เข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล ชี้เป็นคดี มูลค่าความเสียหายหมื่นล้าน – อาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 กรกฎาคม ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย นำผู้เสียหายเข้ายื่นร้องขอความเป็นธรรมที่ศาลอาญาหลังถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนกับบริษัทโอดีแคปปิตอล และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการจับ นายชินวัตร น้อยวัน พร้อมกับพวกอีก 22 คน ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”

โดย นายสามารถ เปิดเผยว่า คดีนี้สตช.เองก็มีการเเถลงข่าวไปเมื่อวานส่ามีการจับกุมยุติการหลอกลวงนี้เเล้ว เป็นการกระทำผิดตาม ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มีการค้นพบอาวุธปืนเป็นจำนวนมาก เเละมีผู้เสียหายหรือสมาชิกประมาณ5เเสนคน ความเสียหายหลักหมื่นล้าน ซึ่งตนคิดว่าหากครบ 48 ชั่วโมง จะต้องนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังที่ศาลอาญา

ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้เสียหายก็ได้คัดค้านการประกันตัว เพราะผู้ต้องหาเองก็มีอาวุธปืน เเละยังไม่ได้มีการยึดเซิร์ฟเวอร์คอมฯทำให้ยังสามารถหลอกลวงประชาชนได้อยู่ ผู้เสียหายก็เกิดความกังวลในเรื่องการได้เงินคืน วันนี้ ปปง.ก็ยึดเงินในบัญชีได้ร้อยกว่าบ้านบาทเท่านั้น เเต่ทรัพย์สินที่อยู่ตามบ้าน รถยนต์ก็ยังไม่มีการอายัดเลย

เเต่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. ได้ให้ประกันผู้ต้องหาที่เป็นหัวหน้าและแม่ทีมบริษัทดังกล่าว จึงสงสัยว่าพนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจอย่างไรถึงให้ประกันไป

คดีนี้มีการออกหมายจับ ถึง32คน จับกุมได้22คน ถือเป็นองค์กรใหญ่ คดีซินเเสโชกุนยังไม่ถึง 10 คนคดีนี้เข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ พนักงานสอบสวนอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้อย่างไรเพราะเมื่อเทียบกันคดีฉ้อโกง ยูฟันและคดีแชร์ลูกโซ่โชกุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังสั่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนในการดำเนินคดี เเละส่งฝากขังที่ศาลอาญาเลย ซึ่งคดีนี้ไม่แตกต่างจากสองคดี จึงทำให้ผู้เสียหายกังวลว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้รวมตัวกันยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมเพื่อขอให้ศาลพิจารณาไว้ในกรณีที่เมื่อหากคดีเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาล เนื่องจากหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดก็ออกโดยศาลอาญา

ส่วนผู้เสียหายรายหนึ่งยอมรับว่า หลงเชื่อเพื่อนซึ่งเป็นหนึ่งในแม่ทีมมาชักชวนให้ร่วมลงทุนกับบริษัทแห่งนี้ โดยอ้างว่า จะนำไปลงทุนกับหลักทรัพย์ต่างประเทศ และได้รับผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 10 โดยในช่วงแรกได้รับเงินปันผลจริง แต่พอผ่านไปสักระยะแม่ข่ายบ่ายเบี่ยงที่จ่ายผลตอบแทนและไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าตำรวจจับแม่ทีมพร้อมเครือข่ายในคดีนี้ได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับความคืบหน้าคดีนี้พนักงานสอบสวน ปอศ. อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน โดยตีหลักทรัพย์สูงสุด คนละ 4 ล้านบาท โดยยื่นประกันตัวไปแล้ว 20 คน มีอีก 2 คนที่ยังไม่ได้ยื่นประกันในชั้นสอบสวน

 

ที่มา มติชนออนไลน์