“บิ๊กตู่” ชี้การแพทย์ไทยดีขึ้นต่อเนื่องคนไทยอายุยืน ยันศักดิ์ศรีนายกฯอยู่ที่ปชช.มอบให้

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการและมหกรรมการแสดงผลงาน 100 ปี การสาธารณสุขไทย “เพื่อประชาชนสุขภาพดี 100 ปี แห่งการพัฒนา” และงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 15 พร้อมด้วย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมงาน โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวปาฐกถาหัวข้อ ”มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เพื่อสุขภาพคนไทย” ตอนหนึ่งว่า เห็นรอยยิ้มของบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขมีความสบายใจมากขึ้น และขอขอบคุณศรัทธาในสิ่งที่ทุกคนได้ทำงานเพื่อคนไทยมาตลอดว่าการครบรอบ 100 ปีไม่ใช่น้อยๆ ซึ่งประเทศไทยมีความเป็นมาที่ยาวนานกว่านั้น วันนี้ประชาชนคนไทยมีอายุที่ยืนขึ้น มีสุขภาพร่างกายที่ดี ส่วนจิตใจอาจจะดีบ้างไม่ดีบ้างตามสถานการณ์และปัจจัยความขัดแย้งที่มีอยู่ ทั้งนี้ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเองและใจ ประเทศชาติประกอบด้วย 2 อย่างคือ คนและพื้นที่ ประเทศใดก็ตามที่มีประชาชนเข้มแข็ง ความรู้ มีการศึกษา มีหลักคิดที่ดีงาม ถูกต้อง ประเทศชาติก็จะเจริญและยิ่งถ้ามีจิตใจที่ดีและศรัทธาเพื่อคนอื่นก็จะยิ่งดียิ่งขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสพบกับผู้นำหลายประเทศ และบางประเทศมีประชาชนแค่ 5 ล้านคน เขามีความเจริญก้าวหน้า เพราะมีความเจริญด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ แต่ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้อาจน้อยกว่าเราจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาในทุกด้าน เราจึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ถือเป็นวิสัยทัศน์ของรัฐบาล คาดการณ์อนาคตว่าอีก 20 ปี คนไทยจะต้องได้รับการดูแลอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีความมั่งคั่งตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความยั่งยืน โดยต้องมีภูมิคุ้มกัน มีความรู้คู่คุณธรรม ทุกคนจึงต้องมีมุ่งหวังในการพัฒนา เพื่อสังคมและส่วนรวม รวมทั้งการพัฒนาตนเองซึ่งจะทำให้ด้านใดด้านหนึ่งและทำให้เกิดผลเสียอีกด้านหนึ่งไม่ได้ ยอมรับว่าปัจจุบันหลายอย่างยังมีปัญหา โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเรา ไปสู่วิสัยทัศน์ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในทุกๆอาชีพ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่ายังมีปัญหามากพอสมควร เพราะเราอยู่ในโลกโลกาภิวัตน์ ตลอด 100 ปีที่ผ่านมาการสาธารณสุขไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แต่เราต้องไปให้ถึงจุดสูงสุดมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัคซีน ตัวยาใหม่ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งทุกอย่างจะพัวพันกับงบประมาณ การแก้ไขปัญหามักจะเกิดผลกระทบ ซึ่งเราพยายามให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

วันนี้ประเทศไทยได้รับการยอมรับเรื่องการดูแลสุขภาพ การดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน และการให้บริการกับนานาชาติ ปัจจุบันมีชาวต่างชาติจำนวนมากที่เข้ามาใช้บริการในประเทศไทย แต่ชาวไทยส่วนหนึ่งอาจไม่เข้าใจอาจจะเพราะพบแพทย์ยาก นัดหมายไม่ได้ จนเกิดข้อวิจารณ์ว่าเราไปรับคนต่างประเทศมากเกินไป ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดขอให้ทำความเข้าใจด้วย ทั้งนี้รัฐก็ส่งเสริมการแพทย์ปัจจุบันและการแพทย์แผนไทยมาโดยตลอด ทำให้ติดตลาดให้ได้รับการยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่รัฐบาลทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะต้องการมองอนาคตในระยะยาว โลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราต้องเอาทั้งหมดมาเชื่อมโยง การสาธารณสุขเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศเดินต่อไปได้ ทุกคนต้องแข็งแรง ไม่ใช่แค่ไทย ขอให้ทุกคนทำเพื่อไทยและโลก เราต้องมองเป้าหมายที่ใหญ่กว่า เพื่อที่จะได้มีกำลังใจสู้กับปัญหา โดยมียุทธศาสตร์ตามแนวคิดที่ว่า ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามระบบสุขภาพแนวคิดที่ว่า คนดี มีคุณค่า มีความสุข

“การเป็นคนดีจะต้องดีทั้งร่างกายและจิตใจ เกียรติยศศักดิ์ศรีไม่ใช่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่เป็นนายกฯแล้วจะหมายความว่าเป็นคนดี มีเกียรติยศ การที่จะมีเกียรติยศได้คือการที่คนข้างล่างเท่านั้นจะให้มา ถ้าเขาไม่ให้ผมก็มีไม่ได้ หรือถ้าประชาชนไม่ยอมรับ ผมก็อยู่ไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดา เกียรติยศเป็นเรื่องที่คนอื่นมอบให้กับเรา ดังนั้นเราต้องทำตัวให้มีคุณค่า มีความสุขในสิ่งที่ทำวันนี้ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขกับเรา เราก็ต้องมีความสุขกับความสุขของคนอื่น ถือเป็นหน้าที่ของเราทุกคน เราจึงจำเป็นต้องเร่งรัดพัฒนาใน 3 ยุทธศาสตร์ คือ การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความมั่นคง พัฒนาเด็กและผู้สูงอายุ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวยอมรับว่า ยุทธศาสตร์ชาติระยะที่ 1 เรายังทำได้ไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะมีปัญหาทางด้านงบประมาณและบุคลากร จึงต้องค่อยๆทำไป ทำเร็วได้ยิ่งดีเพราะยิ่งช้ายิ่งอันตราย วันนี้หลายคนอาจจะมองว่ารัฐบาลทำดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ตนก็เต็มที่ให้แล้ว คำที่บอกว่าดีบ้างไม่ดีบ้างก็ต้องมาดูว่าอะไรดีไม่ดี ตรงไหนไม่ดีก็ต้องช่วยกันแก้ตรงไหนที่ดีก็ต้องทำให้ดีเพิ่มขึ้นแต่ถ้ายังติกันไปมา ก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้จะดีกว่าเพื่อให้ทันสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 20 ปี

 

 

ที่มา : มติชนออนไลน์