
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สำหรับกรณีข่าวนิสิตนักศึกษาเสียชีวิต ซึ่งหลายครั้งพบสาเหตุว่าอาจมาจากการฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดคำถามว่าจะป้องกันปัญหาได้หรือไม่ แน่นอนว่า หากนักศึกษาที่มีปัญหาเครียด ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการให้คำปรึกษาแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาหรือจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเชื่อว่าในมหาวิทยาลัยทุกแห่งได้จัดเตรียมช่องทางการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว แต่เนื่องจากนิสิตนักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายหรือผู้ใหญ่ตอนต้น จะเดินเข้าไปหาช่องทางช่วยเหลือดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจจะช่วยเหลือได้ไม่ทันการณ์
น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าวว่า แนวทางการให้ความช่วยเหลือนิสิตนักศึกษากลุ่มนี้ อาจต้องใช้วิธีการเชิงรุกเพิ่มขึ้น โดยนำหลักของการปฐมพยาบาลทางใจมาใช้ ซึ่งมี 3 ส.คือ สอดส่องมองหา ใส่ใจรับฟัง และส่งต่อเชื่อมโยง โดยนักศึกษาที่มีความเครียดหรือคิดวนเวียนเกี่ยวกับปัญหาที่เผชิญอยู่ จะมีผลต่อสมาธิและความสามารถในการเรียน ซึ่งสามารถสังเกตอาการและพฤติกรรมที่ผิดปกติ ได้แก่ อาจมีลักษณะเหม่อลอย เก็บตัว แยกตัว ไม่ร่าเริงแจ่มใสสนุกสนานเหมือนเดิม มาเรียนสาย หรือไม่เข้าเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน เมื่อพบเห็นภาวะดังกล่าว ผู้ใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรืออาจารย์ที่ปรึกษา รวมทั้งญาติ ต้องเข้าไปพูดคุยโดยเร็ว ร่วมกันหาสาเหตุด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย รับฟังปัญหาอย่างใส่ใจ โดยไม่ตัดสินว่าผิดหรือถูก ให้การช่วยเหลือให้คำปรึกษาหรือส่งต่อผู้เชี่ยวชาญได้ทันท่วงที โดยสามารถใช้บริการจากสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ของกรมสุขภาพจิตซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญปรึกษาปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง
นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ จ.ขอนแก่น และศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การที่มีคนคอยใส่ใจช่วยเหลือ จะช่วยคลี่คลายทุกข์หรือปมที่มีในใจของนิสิตนักศึกษาที่มีปัญหาให้เบาบางขึ้น และจะช่วยให้มีการทบทวน ไม่วู่วาม มีสติแก้ไขปัญหาดียิ่งขึ้น และไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวอีกต่อไป ซึ่งจะสามารถป้องกันการแก้ปัญหาในทางที่ผิดไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตาย หรือใช้สิ่งเสพติดแก้ปัญหาได้ด้วย
ที่มา มติชนออนไลน์