“นพรัตน์-พนม-ประนอม” โดนอีก ป.ป.ช. เชือด 2 สำนวนโกงเงินทอนวัด

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช.แถลงความคืบหน้าในคดีการทุจริตเงินงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในปีงบประมาณ 2556 และปีงบประมาณ 2558 โดยมีนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. และนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. และ น.ส.ประนอม คงพิกุล อดีต รอง ผอ.พศ. ถูกชี้มูลความผิดด้วย

นายวรวิทย์กล่าวว่า เรื่องแรกเป็นการทุจริตเงินงบประมาณเกี่ยวกับการอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์ ปี 2556 จากการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน รับฟังได้ว่า เมื่อปี 2556 พศ. ได้รับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนงบประมาณอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์เกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าว อย่างไรก็ดี พศ. ได้โอนงบประมาณดังกล่าวผ่านวัดพระพุทธบาทตากผ้า เพื่อโอนต่อให้กับพระสุทธิพงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยเดนมาร์กพรหมวิหาร จำนวน 2 ครั้ง วงเงินรวม 5.78 ล้านบาท ถือว่าผิดตามหลักเกณฑ์การใช้จ่ายงบประมาณอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัด ที่ห้ามโอนให้กับวัดไทยในต่างประเทศ โดยกรณีนี้มีนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.พศ. (ขณะนั้น) นายพนม ศรศิลป์ รอง ผอ.พศ. (ขณะนั้น) นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนาสถาน พศ. (ขณะนั้น) นายเฉลิมพล มีศิลารัตน์ ผอ.กองพุทธศาสนสถาน (ขณะนั้น) รวมถึงพระสุทธิพงศ์ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนการพูดคุย และโอนงบประมาณ

นายวรวิทย์กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการจัดสรรเงิน 2 ครั้งดังกล่าว เป็นการพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ที่ พศ. ว่าด้วยการขอและจัดสรรเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัด กล่าวคือ ไม่มีคำขอการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจำปี 2556 ผ่านวัดพระพุทธบาทตากผ้า และไม่มีการประชุมของคณะทำงานพิจารณาขอรับเงินอุดหนุนจริง รวมถึงการจัดรายงานการประชุมคณะทำงานฯเพื่อพิจารณาขอรับสนับสนุนงบประมาณเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดปี 2556 อันเป็นเท็จ และการกระทำดังกล่าวเป็นการเบียดบังเงินทรัพย์สินของสำนักงาน พศ. เป็นของตนเองหรือผู้อื่น

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด 1.นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 151 157 ประกอบมาตรา 83 และผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 และผิดวินัยอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 82 (1) (2) (3) และมาตรา 85 (1) (4) (7)

2.นายพนม ศรศิลป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.พศ. มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 และเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 151 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

3.นายเฉลิมพล มีศิลารัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.กองพุทธศาสนสถาน และ 4.นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนสถาน มีมูลความผิดทางอาญา ตามมาตรา 157 และ 162 (1) (4) และผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 151 และผิดวินัยอย่างร้ายแรง

ส่วน 5.พระสุทธิพงศ์ ไม่มีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 151 157 และผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ทั้งนี้ให้ส่งรายงานและความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และส่งรายงานและเอกสารพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป

นายวรวิทย์กล่าวว่า เรื่องที่สองเป็นการทุจริตงบประมาณ พศ. ประจำปีงบประมาณ 2558 โดยเป็นเรื่องที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ กองบังคับการสอบสวนกลาง (ปปป.ตร.) มีการกล่าวหานายพนม ศรศิลป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. น.ส.ประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.พศ. กับพวกว่า ทุจริตเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์ปี 2558 ให้กับวัดใน จ.ลำปาง 5 แห่ง และวัดใน จ.แพร่ 1 แห่ง วัดละ 4 ล้านบาท รวม 6 วัดเป็นเงิน 24 ล้านบาท จากการไต่สวนพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ช่วงปลายปี 2557 นายพนม น.ส.ประนอม พระครูศิโรจน์ ปิยรัตน์เสรี อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านอ้อ จ.ลำปาง (ขณะนั้น ปัจจุบันสึกแล้ว) นางณัฐฐาวดี ตันตยาวิสาสุทธิ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนสถาน นายวสวัตติ์ กิตติธีรสิทธิ์ ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนสถาน เกี่ยวข้องในกระบวนการจัดสรรเงินให้กับวัดใน จ.ลำปาง 5 แห่ง และวัดใน จ.แพร่ 1 แห่ง เป็นเงิน 24 ล้านบาท แต่โอนกลับคืนเข้าบัญชีนางณัฐฐาวดี พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ และ น.ส..อุบล ดิษฐ์ด้วง เป็นเงินจำนวน 17.8 ล้านบาท ก่อนที่ น.ส.ประนอม สั่งการให้นางณัฐฐาวดี และนายวสวัตติ์ ถอนเงินจาก 3 บัญชีดังกล่าวให้ตนเอง

นายวรวิทย์กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด 1.นายพนม มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 151 และ 157 ประกอบมาตรา 83 90 และ 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง 2.น.ส.ประนอม และ 3.นายวสวัตติ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 90 และ 91 และมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง 4.นางณัฐฐาวดี มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 151 157 และ 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 90 และ 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

ส่วน 5.นายศิวโรจน์ และ 6.น.ส.อุบล มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 151 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 90 และ 91 โดยให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และส่งไปยัง อสส. เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป

นายวรวิทย์กล่าวว่า สำหรับคดีเงินทอนวัด มีทั้งสิ้น 80 เรื่อง เสร็จแล้ว 19 เรื่อง ยังอยู่ชั้นไต่สวน 17 เรื่อง ยังอยู่ชั้นแสวงหา 44 เรื่อง ทั้งหมดเมื่อ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเสร็จ จะทยอยแจ้งให้สื่อทราบ

 

 

ที่มา : มติชนออนไลน์