เครือข่ายปชช.ขอรัฐ หยุดมอมเมาเพิ่มสลาก 90 ล้านฉบับ!

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 กันยายน ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายราเมศร ศรีทับทิม ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลาก พร้อมด้วย นายณัฐพงศ์ สำเภาแก้วผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน และนักเรียนนักศึกษา ชาวบ้าน กว่า30คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อ ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวนการเพิ่มจำนวนสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึง90ล้านฉบับ จากเดิม37ล้านฉบับ เนื่องจากสำนักงานสลากฯมุ่งแต่จะหาเงินเข้ารัฐ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อปัญหาสังคม ทั้งมอมเมาประชาชน เพิ่มนักพนันหน้าใหม่ ปลูกฝังค่านิยมการเล่นการพนันให้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทั้งนี้เครือข่ายฯได้ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ชื่อ“มนุษย์สลาก”โดยนำลอตเตอรี่ พันรอบตัว โปรยกระจาย เพื่อสื่อถึงการคัดค้านปริมาณที่มากเกินไป

นายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน กล่าวว่า จากกรณีสำนักงานสลากฯ มีมติพิมพ์สลากฯเพิ่มเป็น90ล้านฉบับ จากเดิม37ล้านฉบับ หรือเพิ่มมาถึง53 ล้านฉบับ เพื่อจำหน่ายงวด วันที่ 1กันยายน ที่ผ่านมา ถือเป็นการพิมพ์สลากเพิ่ม4ครั้งในรอบปีทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาตามที่สำนักงานสลากฯกล่าวอ้าง หากย้อนดูการเข้ามาทำงานของสำนักงานสลากฯ ในรัฐบาลนี้ พบว่า ปัญหาสลากแพงยังไม่หมดไป ปัญหาพ่อค้าคนกลางหรือญี่ปั๊วยังมีอยู่และเพิ่มจำนวนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังสะท้อนชัดเจนว่า ปัจจุบันมีคนไทยซื้อสลากกินแบ่งฯ21ล้านคน ซึ่งเฉลี่ยแล้ว1คน จะซื้อสลากฯ4.3 ใบ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินควร ซ้ำยังพบสลากค้างแผงจำนวนมาก ผู้ค้ารายย่อยต้องรับภาระเอง และในยุคสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้เกิดบรรยากาศยั่วยุการหวังโชคลาภของประชาชนรวมถึงเด็กและเยาวชน ผ่านช่องทางดังกล่าวรุนแรงมากขึ้นด้วย

นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า จากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่11/2558 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการจำหน่ายสลาก ระบุว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยสำนักงานสลากฯและเงื่อนไขสัญญา จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นไปโดยเคร่งครัด เพื่อประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศในด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดนั้นกลับไม่ได้แก้ปัญหาแต่อย่างใด ผลงานที่ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงที่สุดในปีงบประมาณ 2561 สะท้อนว่า มุ่งหากำไรหรือรายได้จากประชาชนและคนซื้อสลากฯส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย

ด้านนายราเมศร ศรีทับทิม ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลากฯ กล่าวว่า แม้สลากจะเป็นการพนันที่ถูกกฎหมายจัดให้บริการโดยรัฐ แต่ควรควบคุมปริมาณ การเข้าถึง คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม มากกว่าเรื่องของเม็ดเงินที่จะเข้ารัฐ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นมอมเมาให้ลุ่มหลงเสพติดการพนัน อีกทั้งวิธีนี้ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสลากแพง มีแต่จะเพิ่มพื้นที่พนัน สร้างความคุ้นชินเด็กเยาวชนหรือกลุ่มเปราะบาง กลายเป็นนักพนันหน้าใหม่ในอนาคต และจากข้อมูลผลสำรวจสถานการณ์การเล่นการพนันในสังคมไทย ปี 2560 ของศูนย์ศึกษาการพนัน พบว่า การเพิ่มจำนวนสลาก ส่งผลทำให้ผู้เล่นเพิ่มมากขึ้น จากเดิม19.07 ล้านคนในปี 58 เพิ่มเป็น 21.43 ล้านคนในปี60 วงเงินพนันเพิ่มขึ้นเท่าตัว จาก 77,143 ล้านบาท เป็น 140,549 ล้านบาท และสลากเป็นประเภทการพนันที่เพิ่มจำนวนนักพนันหน้าใหม่กว่า4แสนคน” ผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน กล่าว

“เครือข่ายฯขอแสดงจุดยืนและข้อเรียกร้อง ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้ 1.ทบทวนการเพิ่มจำนวนสลาก จาก90 ล้านฉบับ ให้กลับมาอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และสำนักงานสลากฯ ไม่ควรดำเนินการใดๆที่สวนทางกับเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการลดปัญหาการพนัน เพราะเป็นการส่งสัญญาณที่สับสนให้เด็ก เยาวชนและประชาชน ถึงจุดยืนของรัฐบาลด้วย 2.ที่ผ่านการเพิ่มสลากฯเข้าสู่ระบบ ไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจำหน่ายสลากฯที่ตรงจุด เพราะปัจจุบันยังพบเห็นการขายเกินราคาควบคุมอยู่เกลื่อนเมือง โดยเฉพาะการขายในแบบสลากชุด และขอให้พิจารณาการแก้ปัญหาอย่างรอบด้าน รอบคอบ คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะส่งผลต่อสังคมเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน หวังว่าการทบทวนการเพิ่มสลากฯในครั้งนี้จะนำมาสู่การดำเนินการที่โปร่งใส เกิดความเป็นธรรม และก่อประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างแท้จริง และ 3.ขอเรียกร้องให้กองทุนสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อพัฒนาสังคม มีบทบาทตามเจตนารมณ์ของ คำสั่ง คสช.ที่11/2558 ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะปัจจุบันพบว่างบประมาณดังกล่าวมีการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้อยมาก โดยเฉพาะการป้องกันเด็ก เยาวชน นักพนันหน้าใหม่ รวมถึงการลดผลกระทบจากการพนันในสังคมไทย”นาย ราเมศร กล่าว

 


ที่มา มติชนออนไลน์