บทเรียน ‘สึนามิสุลาเวสี’ นักวิจัยชี้ไทยควรสร้างแบบจำลองประเมินสถานการณ์ทุกกรณี

เมื่อวันที่ 30 กันยายน ผศ.ภาสกร ปนานนท์ นักวิจัยชุดโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และอาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) กล่าวถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในพื้นที่บริเวณทางตะวันตกของเกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย ว่า

มีประเด็นที่น่าสนใจคือ หลังเกิดเหตุมีการเผยแพร่คลิปสึนามิอย่างกว้างขวาง ประกอบกับลักษณะการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนเป็นแบบการเลื่อนตัวด้านข้าง จึงไม่น่าทำให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่ได้ ทั้งหน่วยงานของรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชนไทยพยายามตรวจสอบต้นตอของคลิปที่ส่งต่อกันมาว่า เป็นเหตุการณ์จริงหรือไม่ก่อนเผยแพร่ เนื่องจากระยะหลังมีการเผยแพร่คลิปปลอมเกี่ยวกับภัยพิบัติจำนวนมาก อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและสังคมวุ่นวายได้ นับเป็นสัญญาณที่ดีมากของสังคมไทย โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการพยายามตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล หรือข่าวที่ได้รับก่อนเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ

ผศ.ภาสกร กล่าวว่า อีกประเด็นที่สำคัญคือ การรายงานข่าวความเสียหายหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่ห่างไกลอาจจะยังไม่เป็นปัจจุบัน เนื่องจากปัญหาการติดต่อสื่อสารหรือการเข้าถึงพื้นที่ ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลกระทบทันทีที่เกิดเหตุ มากกว่าที่จะฟังรายงานข่าวจากสื่อมวลชน หรือจากหน่วยงานในพื้นที่เพียงอย่างเดียว เพราะอาจช้าไม่ทันการ ทำให้การวางแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยมีประสิทธิภาพลดลงและล่าช้ามากขึ้น ในกรณีของแผ่นดินไหว สามารถประเมินความเสียหายเบื้องต้นโดยการคำนวณเชิงคณิตศาสตร์ และใช้หลักสถิติจากข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว เพื่อสร้างแบบจำลองในการประเมินความเสียหายในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว และบริหารจัดการบรรเทาภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ประเด็นต่อมาคือ การตรวจวัดและการแจ้งเตือนสึนามิว่าถูกต้อง หรือคลาดเคลื่อนอย่างไร เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7-7.5 และมีการเลื่อนตัวในแนวระนาบ มีโอกาสทำให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่ประเภทที่สามารถเดินทางไปทั่วโลกได้น้อยมาก แต่มีโอกาสเกิดสึนามิขนาดปานกลางที่มีคลื่นสูง 1-3 ในพื้นที่ชายฝั่งใกล้กับศูนย์กลางแผ่นดินไหว จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล หรือหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดระบบแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ข้อมูลความลึกของพื้นทะเลเป็นข้อมูลที่สำคัญมากในการสร้างแบบจำลองสึนามิ ยิ่งข้อมูลมีความละเอียดมากเท่าไร แบบจำลองที่สร้างขึ้นจะยิ่งมีความถูกต้องใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้นด้วย แต่การสำรวจข้อมูลเหล่ามีค่าใช้จ่ายสูงมาก” ผศ.ภาสกร กล่าว

นอกจากนี้ ผศ.ภาสกร กล่าวว่า การสร้างแบบจำลองสึนามิมักจะทำจากข้อมูลแผ่นดินไหวพื้นฐาน จึงมักเป็นแบบจำลองเบื้องต้น และอาจไม่ได้ครอบคลุมปัจจัยพิเศษอย่างอื่น เช่น ลักษณะภูมิประเทศของอ่าว หรือการเกิดสึนามิแบบอื่นๆ เช่น การถล่มของแผ่นดินในทะเล (submarine landslide) เป็นต้น ซึ่งอาจจะทำให้คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นจากปัจจัยพิเศษเหล่านี้มีความแตกต่างจากแบบจำลองได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะเกิดจากลักษณะทางกายภาพของอ่าวที่เมืองปาลู ซึ่งมีลักษณะเป็นช่องแคบและยาว ทำให้มวลน้ำที่เข้ามาในอ่าวถูกบีบเข้าหากันเนื่องจากพื้นที่จำกัด จึงมีความเร็วมากขึ้นและยกตัวสูงขึ้น เป็นเหตุให้คลื่นแรงขึ้นด้วย

“บทเรียนครั้งนี้ สามารถนำมาใช้กับประเทศไทย ประชาชนควรเข้าใจถึงข้อจำกัดในการแจ้งเตือนการเกิดสึนามิ และใช้สามัญสำนึกในการเอาตัวรอดเมื่อเกิดภัย โดยเฉพาะชุมชนชายฝั่งที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว หากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ต้องรีบออกจากชายฝั่งและรีบขึ้นที่สูงให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอประกาศเตือนภัยหรือคำเตือนใดๆ เพราะไม่มีทางทราบได้ว่าระบบสื่อสารแจ้งเตือนภัยต่างๆ ยังทำงานได้เป็นปกติหรือไม่ การรู้จักเอาตัวรอดจึงสำคัญมากที่สุด

นอกจากนี้ การซักซ้อมการหนีภัยเป็นระยะในพื้นที่เสี่ยงภัยจะช่วยให้ประชาชนมีความตระหนักรู้มากขึ้นด้วย รัฐบาลควรมีระบบช่วยตัดสินใจ และระบบการประเมินความเสียหายในพื้นที่ เพื่อช่วยในการวางแผนบรรเทาภัยอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับพื้นที่เปราะบางที่มีความสำคัญ เช่น แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ควรมีการสร้างแบบจำลองของการเกิดสึนามิในทุกกรณีที่อาจเป็นไปได้ เพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบ รวมถึงการแจ้งเตือนและบริหารจัดการความเสี่ยงภัยจากคลื่นสึนามิในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และที่พยายามเน้นย้ำทุกครั้งคือเมืองใหญ่หลายเมืองของประเทศไทยมีรอยเลื่อนอยู่ข้างใต้ แต่เราไม่มีข้อมูลว่ารอยเลื่อนเหล่านี้มีโอกาสทำให้เกิดแผ่นดินได้มากน้อยเพียงใด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบศึกษาเพราะผลกระทบสูงมาก” ผศ.ภาสกร กล่าว

 

ที่มา มติชนออนไลน์