กรมอุทยานฯ ยันปิด “มาหยา” ไม่กระทบทัวร์ ชี้รายได้ปีละ 630 ล้าน

DCIM100MEDIADJI_0572.JPG

จากกรณีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกประกาศกรมอุทยานฯ ขยายระยะเวลาปิดการท่องเที่ยวอ่าวมาหยา อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ออกไปไม่มีกำหนด จนกว่าทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่งจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ อย่างไรก็ตามได้มีกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวออกมาร้องเรียนว่าการปิดอ่าวมาหยาแบบไม่มีกำหนดกระทบต่อการท่องเที่ยวเกาะพีพี เพราะนักท่องเที่ยวที่จองโปรแกรมทัวร์เข้ามาล่วงหน้าไม่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวได้

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม นายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวว่า ยืนยันว่าการปิดอ่าวมาหยานั้นเป็นไปเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวมาเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะในเรื่องแนวชายหาดที่เกิดการทรุดตัว สภาพป่าชายหาดและปะการังที่ถูกรุกล้ำจนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากโดยมีภาพถ่ายทางอากาศเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งนี้รูปแบบการขายทัวร์ของผู้ประกอบการท่องเที่ยวไม่ได้ขายเฉพาะอ่าวมาหยาอย่างเดียวแต่เป็นการขายแพกเกจสถานที่ท่องเที่ยวในเกาะพีพีทั้งหมด ซึ่งทุกแห่งยังเที่ยวได้ตามปกติ และที่ผ่านมายอดนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ลดลง อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ สามารถจัดเก็บเงินรายได้กว่า 630 ล้านบาท มากกว่าทุกอุทยานฯ ทั่วประเทศ แม้ช่วงที่ผ่านมามีมรสุมคลื่นลมรุนแรงจนไม่สามารถนำเรือท่องเที่ยวออกได้ทุกวันและเกิดวิกฤตเรือนักท่องเที่ยวจีนล่ม ที่ผ่านมากรมอุทยานฯ ได้ปิดฟื้นฟูเกาะตาชัย ในอุทยานแห่งชาติสิมิลัน แต่แหล่งท่องเที่ยวอื่นในอุทยานแห่งชาติสิมิลันก็ยังเปิดอยู่และสามารถท่องเที่ยวได้ตามปกติ

“ทั้งหมดเป็นเรื่องการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ ไม่ใช่บริหารจัดการการท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาตินั้นเราเปิดให้คนเข้าไปศึกษาหาความรู้ในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ เราไม่ได้เปิดเพื่อการใช้ประโยชน์เพี่อการท่องเที่ยวและหารายได้อย่างเดียว และท้ายที่สุดเราไม่อยากเห็นการสูญเสียทรัพยากรเหมือนที่เกิดขึ้นกับอ่าวพีพีดอนที่เมื่อก่อนมีความสวยงามมากกว่าอ่าวมาหยามาก เป็นบทเรียนสำคัญที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก หากมีความพร้อมและเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมก็พร้อมที่จะเปิดให้เข้าไปเที่ยวชมและศึกษาธรรมชาติได้ต่อไป” นายทรงธรรมกล่าว

รายงานข่าวจาก อบต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ แจ้งว่า สืบเนื่องจากกรณี อบต.อ่าวนาง พร้อมพวก ได้ฟ้องร้องคดีปกครองต่อ รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมป่าไม้ และอธิบดีกรมป่าไม้ ในฐานะที่กำกับดูแลอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ซึ่งได้อนุญาตให้มีการสร้างภาพยนตร์เรื่องเดอะบีช โดยบริษัทสร้างภาพยนตร์ของต่างประเทศ จนสร้างความเสียหายและมีการเปลี่ยนแปลงสภาพในอุทยานหาดนพรัตน์ธาราฯ และอ่าวมาหยานั้น ล่าสุดทางอบต.อ่าวนางและกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งดูแลอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ในปัจจุบันได้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย โดยเห็นร่วมกันว่าต้องมีการจัดการพื้นทีอ่าวมาหยา โดยมีแผนการระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาวในการดำเนินการฟื้นฟูอ่าวมาหยา เช่น การควบคุมสิ่งก่อสร้าง การจัดการพื้นที่บริเวณชายหาด การปิดอ่าวเพื่อให้ทรายได้เติมเต็มตามธรรมชาติ การปิดการท่องเที่ยวเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว และการควบคุมจำนวนเรือนำเที่ยวให้มีความเหมาะสม การตั้งกองทุนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ทั้งนี้จากสภาพปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยวที่นำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศของอ่าวมาหยา และเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการไกล่เกลี่ยของศาล กรมอุทยานฯ ได้จัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่บริเวณอ่าวมาหยา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ โดยแบ่ง ออกเป็น 3 ระยะ คือ แผนระยะสั้น (ระยะเวลา 1 ปี ) กำหนดให้มีการปรับปรุงเส้นทางการเข้าออกของเรือ ท่าเทียบเรือ และภูมิทัศน์บริเวณอ่าวมาหยา ตลอดจนการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในพื้นทีอ่าวมาหยา มีการจัดการพื้นที่ชายหาด พื้นที่สัญจร โดยให้เรือเข้าออกบริเวณอ่าวโละซามะทางเดียว เพื่อให้อ่าวมาหยาเป็นพื้นที่รองรับกิจกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทิศตะวันออกของอ่าวโละซามะจัดเป็นพื้นที่บริการเรือรับส่งท่องเที่ยว ปรับปรุงและก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นในการรองรับนักท่องเที่ยว มีการก่อสร้างทุ่นทางเดินลอยน้ำ และท่าเทียบเรือ รับส่งนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและขาออก มีการสร้างทางเดินศึกษาธรรมชาติจากอ่าวโละซามะถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว โดยไม่ให้นักท่องเที่ยวเหยียบย่ำทราย มีการฟื้นฟูระบบนิเวศ งดกิจกรรมการท่องเที่ยว ฟื้นฟูปะการัง ฟื้นฟูแนวทรายชายหาดและสังคมพืชป่าชายหาด เป็นต้น

แผนระยะกลาง (ระยะเวลา 3 ปี) กำหนดไว้ว่าหลังจากมีการก่อสร้างสะพานเทียบเรือและทางเดินบริเวณอ่าวโละซามะเรียบร้อยแล้ว จะดำเนินการปิดไม่ให้เรือวิ่งเข้าออกบริเวณอ่าวมาหยาอย่างถาวร โดยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมอ่าวมาหยาผ่านทางอ่าวโละซามะเท่านั้น จะมีการเชิญผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐเอกชน จิตอาสาร่วมกันปลูกปะการังเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ พร้อมให้ความรู้แก่ภาคประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐโดยแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูสังคมพืชป่าชายหาดบริเวณอ่าวมาหยา เพื่อเป็นตัวอย่างการจัดการพื้นที่อื่นๆ ต่อไป ส่งเสริมความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนทั้งชุมชนพื้นที่ ภาคเอกชน ภาครัฐในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนและถูกวิธี ไม่นำไม้ต่างถิ่นเข้ามาปลูกในพื้นที่ หรือทำโครงการปลูกป่า หรือฟื้นฟูป่าชายหาดโดยไม่มีความรู้ด้านสังคมพืชป่าชายหาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อป่าชายหาดอย่างมาก พร้อมทั้งจะจัดทำโครงการนำเสนอพื้นที่บริเวณอ่าวมาหยา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ให้เป็นมรดกโลก เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา และแผนการระยะยาว (ระยะเวลา 5 ปี) จะมีการศึกษาวิจัยติดตามการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ทั้งทางบกและทางทะเลอย่างต่อเนื่อง โดยนำหลักวิชาการด้านการจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเลมาใช้ในการบริหารจัดการ พร้อมทั้งความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการทำงานโดยใช้หลักการมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ ซึ่งแผนดังกล่าวจะดำเนินการควบคู่กันและประเมินผลเป็นระยะๆ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณในการบริหารจัดการกว่า 100 ล้านบาท

 

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์