ฝากขัง “ปริญญา” พี่ชายดาราบูม ฟอกเงินบิตคอยน์797ล้าน หนีตลอด ตร.ค้านประกัน ทนายยื่น4.5ล้าน ลุ้นศาล

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 12 ตุลาคม ร.ต.อ.ศุภชัย ชาติมนตรี พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้ควบคุมตัว นายปริญญา จารวิจิต อายุ 35 ปี พี่ชายนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม นักแสดงซีรีย์วัยรุ่น ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1693/2561 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2561 คดีร่วมกันฟอกเงิน ที่หลอกลงทุนเงินสกุลดิจิทัล หรือบิตคอยน์ มูลค่า 797 ล้านบาท มายื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-23 ตุลาคม61 ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

ทั้งนี้ คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อเวลา 02.45 น. วันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามได้รับตัวนายปริญญา ชาว จ.ชลบุรี จากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน- 30 ธันวาคม 2560 นายปริญญาได้ร่วมกับนายจิระพิสิษฐ์ จารวิจิต และ น.ส.สุพิชญาย์ จารวิจิต กลุ่มผู้ต้องหาซึ่งเป็นพี่น้องกัน ร่วมกันฉ้อโกง นายอาร์นี ออตตาวา ซาอ์ริมาอ์ ชาวฟินแลนด์ ซึ่งประกอบธุรกิจซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล จำนวน 3 ครั้ง กล่าวคือระหว่าง วันที่ 24 มิถุนายน-19 กรกฎาคม 2560 นายปริญญา ผู้ต้องหากับพวกได้ร่วมกันวางแผนและสมคบกันนำความเท็จหลอกลวงและปกปิดข้อเท็จจริง ทำให้ให้นายอาร์นีหลงเชื่อร่วมลงทุนซื้อหุ้น บริษัทเอ็กซ์เปย์ ซอร์ฟแวร์ จำกัด และ บริษัทเอ็นเอ็กซ์ เชน อินคอร์ปอเรต โดยการโอนเงินดิจิทัล จำนวน 1,250 บิตคอยน์ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 92,696,500 บาท ให้แก่กลุ่ม จากนั้นระหว่างเดือน กรกฎาคม 2560 –วันที่ 5 กันยายน 2560 นายปริญญา กับพวกได้ร่วมกันวางแผนและสมคบกันนำความเท็จหลอกลวงและปกปิดข้อเท็จจริง ทำให้นายอาร์นีหลงเชื่อร่วมลงทุนซื้อเงินดรากอน คอยน์ โดยโอนเงินดิจิตอล จำนวน 2,958.75948993 บิตคอยน์ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 440,007,281.33 บาท ให้แก่กลุ่มผู้ต้องหา

ต่อมาระหว่างเดือน สิงหาคม 2560 –วันที่ 30 ธันวาคม 2560 นายปริญญากับพวกได้ร่วมกันวางแผนและสมคบกันนำความเท็จหลอกลวงและปกปิดข้อเท็จจริง ทำให้นายอาร์นีหลงเชื่อร่วมลงทุนซื้อหุ้นบริษัท ดีเอ็นเอ (2002) จำกัด (มหาชน) จำนวน 345,000,000 หุ้น โดยโอนเงินดิจิตอล จำนวน 1355.55701967 เหรียญบิตคอยน์ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 264,708,973 บาทให้กับกลุ่มผู้ต้องหา ผู้ต้องหา เหตุเกิดที่ไพด์คอนโด แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กทม.

รวมรายการโอนเหรียญบิตคอยน์ ที่นายอาร์นี โอนไปเข้ากระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ที่กลุ่มนายปริญญา ผู้ต้องหากับพวกที่เปิดรองรับไว้ จำนวน 19 ครั้ง คิดเป็นเงินไทยจำนวน 797,408,454.33 บาท จากนั้นกลุ่มผู้รับโอนบิตคอยน์ได้นำเหรียญบิตคอยน์ไปขายผ่านระบบการซื้อขายในอินเตอร์เน็ต แล้วจึงนำเงินที่ได้จากการขายโอนเข้าบัญชีธนาคารที่เปิดไว้ จากนั้นนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2556 อันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 มาไว้ในการครอบครองของคน

จากนั้นนายปริญญา, นายจิรัฐพิสิษฐ์ และ น.ส.สุพิชฌา ได้สมคบกันฟอกเงิน ด้วยการโอนเงินอันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดไปมาอีกหลายครั้ง แล้วนำเงินดังกล่าวไปทำการ โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าก่อน หรือ ขณะ หรือหลังกระทำความผิด

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นเข้าเมือง ได้จับกุมตัวนายปริญญา ผู้ต้องหาได้ที่บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 10 ตุลาคม 2561 แล้วนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฟอกเงิน” อันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18),มาตรา 5 (1)(2)(3) มาตรา 9 และมาตรา 60 ประกอบกฎหมายอาญา มาตรา 83

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนยังระบุว่า ได้สอบสวนผู้ต้องหามาตลอดแต่ยังไม่เสร็จสิ้นและจะครบกำหนด 48 ชั่วโมง แต่จะต้องรอผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา จึงขออำนาจศาลฝากขังมีกำหนด 12 วัน และเนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง สร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนีมาโดยตลอด โดยมีการหลบหนีไปต่างประเทศและถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางจนกระทั่งถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทย พนักงานสอบสวนจึงขอคัดค้านการประกันตัว

ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้ ต่อมาทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์ที่ดินจำนวน 2 แปลง ราคาประเมินรวม 4.5 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่

 

ที่มา : มติชนออนไลน์