โค่นไม้สักร้อยต้น ทำทาง รุกป่า 1.8พันไร่ สร้างสวนน้ำ ภูขี้ไก่

นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบกรมป่าไม้ กล่าวถึงกรณีกลุ่มนายทุน  รุกป่า ภูขี้ไก่ รอยต่อ อ.หล่มเก่าและอ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เนื้อที่ 1,800 ไร่ โดยมีการปรับพื้นที่และเปิดตัวเตรียมก่อสร้าง สวนน้ำ ขนาดใหญ่ มีข้าราชการและนายทหารระดับสูงของ จ.เพชรบูรณ์ เดินทางไปร่วมงาน ว่า

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมาได้มีการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินบริเวณภูขี้ไก่ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กรมป่าไม้ ชุดปฏิบัติ ศปป.4 กอ.รมน. อ.หล่มเก่า กอ.รมน.จ.เพชรบูรณ์ บก.ปทส. สำนักงานที่ดิน จ.เพชรบูรณ์ องค์การบริหารส่วนตำบลหล่มเก่า ผู้นำในพื้นที่ เป็นต้น ร่วมประชุม โดยมีข้อสรุปว่า พื้นที่ตามที่ปรากฏเป็นข่าวมีทั้งสิ้น 57 แปลง อยู่ในเขตพื้นที่ อ.หล่มเก่า จำนวน 46 แปลง อ.หล่มสักจำนวน 11 แปลง

รวมพื้นที่ประมาณ 2,195 ไร่ 2 งาน 11 ตรว. มีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดมีผู้ครอบครองหลายราย กรมที่ดินระบุว่าที่ดินแปลงที่ปรากฏตามสื่อไม่อยู่ในเขตภูเขาที่อยู่ระหว่างการขอพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ (กรณีพื้นที่มีความลาดชัน 35%) มอบหมายให้สำนักงานที่ดิน จ.เพชรบูรณ์ ตรวจสอบการขอออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวว่า เป็นไปตามระเบียบกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องหรือไม่

โดยขอให้รายงานให้ ศปป.4กอ.รมน.และอำเภอหล่มเก่าทราบโดยเร็ว พร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบการขออนุญาตตัดไม้ในพื้นที่ดังกล่าวว่าปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายหรือไม่ หากพบไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายให้ดำเนินคดีต่อไป

นายอรรถพล กล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากการประสานกับกรมที่ดินได้รับยืนยันจะเร่งดำเนินการตรวจสอบที่ดินทุกแปลงและเร่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ตามมาตรา 61 ประมวลกฎหมายที่ดินต่อไป โดยเฉพาะโฉนดเลขที่ 27319 ซึ่งเป็นแปลงที่จะมีการก่อสร้างสวนน้ำนั้นมีออกเอกสารสิทธิถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่

จากการตรวจสอบร่วมกับดีเอสไอพบว่าที่ดินทั้ง 57 แปลงเป็นการออกโฉนดที่ดินตามโครงการเดินสำรวจเพื่อออกโฉนดที่ดินและสอบเขตทั้งตำบล ตามมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ตามนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุนของรัฐบาลในขณะนั้น ทั้งนี้ที่ดินทุกแปลงออกโดยมิได้แจ้งการครอบครอง

จากผลการตรวจสอบสภาพพื้นที่และวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ และกรมพัฒนาที่ดินปรากฏว่าที่ดินทั้งหมด ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่เขา ภูเขา และไม่พบการทำประโยชน์ก่อนปี 2497 อย่างไรก็ตามการที่เอกชนเข้าไปปรับพื้นที่ได้นั้น เพราะเขาอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งหากยังไม่มีการเพิกถอน เอกชนก็ยังสามารถเข้าไปดำเนินการได้

ลงพื้นที่ ภูขี้ไก่ ไม้สักถูกโค่นร้อยกว่าต้น!

วันเดียวกัน ที่จ.เพชรบูรณ์ คณะเจ้าหน้าที่ประกอบด้วย กอ.รมน.เพชรบูรณ์, ก.ตชด.31 เพชรบูรณ์, กก.4 บก.ปทส., ป่าไม้ ในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ นำโดย พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการศูนย์ปฏิบัติการที่ 4 (ศปป.4) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักณ (กอ.รมน.) นายบุญลาภ สุกใส ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 พิษณุโลก และนายชิต อินทรนก ผอ.ศูนย์ประสานงานป่าไม้ ลงพื้นที่บริเวณถนนทางเข้าโครงการชุมชนธะธรรมชาติ ต.หล่มเก่า อ.หล่มเก่า

เพื่อตรวจยึดไม้สักที่ถูกเครื่องจักรหนักของโครงการฯตัดโค่น ทิ้งกองไว้ตามสองฝั่งริมถนน ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับขยายถนนเข้าไปยังโครงการฯ ระยะทางราว 4 กิโลเมตร กว้าง 20 เมตร โดยการตัดโค่นต้นสักดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้ว ยังไม่ได้ขออนุญาตทำไม้หวงห้ามจากพนักงานเจ้าหน้าที่ป่าไม้อย่างถูกต้อง

เมื่อคณะเจ้าหน้าที่ไปถึงจุดเกิดเหตุพบต้นไม้สักอายุราว 5-7 ปี จำนวนหลายร้อยต้นถูกโค่นทิ้งอยู่ริมถนน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้สักจากสวนป่าสักของเอกชนถูกตัดโค่นเป็นระยะๆ โดยพ.อ.พงษ์เพชรได้กำชับให้คณะเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการขนย้ายด้วยความรอบคอบ และให้ปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด โดยขอให้ขนย้ายต้นสักที่ถูกโค่นจริงๆเท่านั้น ไม่ให้แตะต้องต้นสักที่ยืนต้นตายโดยเด็ดขาด

จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงแบ่งกำลังออกเป็นชุดๆ เพื่อชักลากและขนย้ายต้นสักที่ถูกตัดโค่นนำมารวมหมอนไว้บนถนน พร้อมทำการตรวจนับก่อนจะใช้ฆ้อนดวงตราตอกตีประทับบนต้นสักเพื่อทำการตรวจยึดไว้ และจึดทำการตรวจยึดไม้ทั้งหมดเป็นของกลาง เพื่อจะเข้าแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.หล่มเก่า ให้ดำเนินการกับผู้กระทำผิดต่อไป

ขณะเดียวกันนายอนัตต์ณังธะโคตร ญาณ์ธนโชติ หรือ “อาจารย์ชา” และนายปฎิธาน ชวาลสันตติ เจ้าของที่ดิน ได้เดินทางมาชึ้แจงกับพ.อ.พงษ์เพชรและคณะเจ้าหน้าที่ โดยอ้างว่า ทางชาวบ้านต้องการขยายถนน จึงแนะให้ไปพูดคุยกับอบต.และได้รับแจ้งว่า ไม่มีงบฯ

จากนั้นรองนายกอบต.หล่มเก่าได้มาพบอาจารย์ชา และแจ้งความต้องการว่า ชาวบ้านยินยอมให้ขยายทาง อาจารย์ชาจึงให้ความช่วยเหลือทั้งงบประมาณ และเครื่องจักรรวมทั้งคนเพื่อขยายทาง เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนรวม ส่วนไม้สักทีถูกโค่น ยอมรับว่าไม่รู้เรื่อง ต้องให้ชาวบ้านเจ้าของที่ดินไปเคลียร์กับเจ้าหน้าที่เอง ซึ่งมีเอกสารที่ชาวบ้านลงชื่อยินยอม 31 ราย

เสธ.กอ.รมน. ไม่สู้อย่างโดดเดี่ยว

พ.อ.พงษ์เพชร กล่าวว่า การเข้าตรวจยึดไม้ในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเพิกถอนโฉนดอย่างใด ตอนนี้ตนรู้สึกไม่โดดเดี่ยวแล้ว เพราะทุกหน่วยงานต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และทางดีเอสไอเองก็มีการประชุมเร่งด่วนเพราะเรื่องดังกล่าวได้ส่งไปตั้งแต่ปี 2552

แต่ปรากฏว่าเรื่องเงียบหายไป แต่เมื่อปี 2557 ตั้งแต่ทาง คสช.เข้ามาก็ได้ทำเรื่องส่งไปแล้วและครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 และครั้งนี้ต้องจบ และทางผู้หลักผู้ใหญ่ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเสียหายจะเกิดอะไรบ้าง ในการฟอกป่าครั้งนี้หากไม่สามารถยับยั้งได้ อาจจะใช้คำว่าเสียดินแดนอีกรูปแบบหนึ่งก็ไม่ผิด

ด้านนายบุญลาภ กล่าวภายหลังจากได้เดินทางเข้าไปภายโครงการชุมชนธรรมชาติบริเวณภูขี้ไก่ ว่า สภาพภูเขาที่ถูกทำให้กลายเป็นเขาหัวโล้น คงต้องตั้งข้อสงสัยที่ดิน 8 แปลงที่สำนักที่ดินจังหวัดพิจารณาตามมาตรา 61 และมีความเห็นไม่เพิกถอนว่า ที่บอกว่าไม่อยู่ในเขตภูเขา ก็ยังสงสัยว่าข้างล่างสั่งให้เพิกถอนแต่ข้างบนซึ่งเป็นภูเขา 88 ไม่มีการเพิกถอน

แต่ทั้งนี้ทราบว่าทางกบอ. ได้มีความเห็นให้เพิกถอนแล้วเช่นกัน ก็ต้องรอดูเบื้องบนว่าจะทำอย่างไรกันอีกครั้ง สิ่งที่ห่วงเวลานี้ก็คือระบบนิเวศน์ ป่าต้นน้ำแม่น้ำป่าสัก กลายเป็นเขาหัวโล้นไปหมดแล้ว ก็วิงวอนไปยังหน่วยงานอื่นให้ร่วมด้วยช่วยกัน

 

 

 

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์