สมาคมรพ.เอกชนตั้งโต๊ะแถลง แจงสังคมสาเหตุราคาสูงกว่ารัฐ

สมาคม รพ.เอกชนตั้งโต๊ะแถลง แจงสังคมสาเหตุราคาสูงกว่ารัฐ ชี้ไทยเป็นที่ยอมรับจากผู้ป่วยต่างชาติ เป็นเมดิคัล ฮับ หากคุมราคาไม่เปิดเสรี หมดศักยภาพการแข่งขันแน่

เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่อาคารเฉลิมพระบารมี สมาคมโรงพยาบาลเอกชน นำโดย นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ อดีตนายกสมาคมฯ ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณีคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้า และบริการ (กกร.) มีมติยกระดับให้ค่ารักษาพยาบาลเป็นสินค้าควบคุม และเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเตรียมเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้

โดย นพ.พงษ์พัฒน์ กล่าวว่า กรณีที่มีการระบุว่ายา ค่ารักษาในรพ.เอกชนมีราคาแพงนั้นเรียนว่าเป็นเพราะต้องมีการลงทุนในการให้บริการต่างๆ เองทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ที่ควบคุมเรื่องมาตรฐานสถานพยาบาล อาทิ หากเป็น รพ.ขนาดกี่เตียง จะต้องมีแพทย์ พยาบาล ห้องผ่าตัดรองรับจำนวนเท่าไหร่ ต้องมีเภสัชกรและมาตรฐานในการจัดเก็บยา นอกจากนี้ เรื่องการใช้ยาใน รพ.ยังต้องมีการตรวจวินิจฉัยและการจ่ายยาให้เหมาะสมกับโรค ไม่ให้ยาตีกัน เป็นต้น ซึ่งต่างจากร้านขายยา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนที่ รพ.เอกชนต้องออกเอง ในขณะที่ รพ.ของรัฐ เงินลงทุนต่างๆ รวมถึงค่าแพทย์ ค่าบุคลากรจะใช้เงินงบประมาณที่มาจากภาษีของพวกเราทั้งสิ้น นี่คือความแตกต่างในเรื่องของใบเสร็จ และที่สำคัญคือการที่ รพ.รัฐไม่ได้อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถานพยาบาลแบบเดียวกันนี้ ทำให้ใบเสร็จมีความแตกต่างกัน เชื่อว่าหากทุก รพ.ทั้งรัฐและเอกชนต่างอยู่ในกฎหมายเดียวกันก็จะทำให้เห็นภาพสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คำนวณง่าย เพราะมีใบเสร็จแบบเดียวกัน

นพ.พงษ์พัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีค่าแพทย์ที่มีการระบุว่าเป็นอัตราสูง เรียนว่าทุกอย่างนั้นเป็นเรตที่ถูกกำหนดโดยแพทยสภาทั้งสิ้น ไม่ได้มีการตั้งราคาเอง ไม่ได้เรียกเก็บเกินจากนี้ และล่าสุดทราบว่าทางแพทยสภาอยู่ระหว่างการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมแพทย์ฉบับใหม่ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน รพ.เอกชน จัดเป็นรพ.ทางเลือก ที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก อย่างปีที่แล้วมีผู้ป่วยนอกประมาณ 60 ล้านคน ผู้ป่วยในประมาณ 4 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2 แสนล้านบาท และด้วยศักยภาพและมาตรฐานทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ป่วยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความนิยมสูงกว่าประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ด้วยซ้ำ หากมีการควบคุมเรื่องราคาไม่เปิดเสรีก็จะทำให้ไม่เอกชนไม่มีศักยภาพในการแข่งขัน ไม่เกิดการพัฒนา ที่ผ่านมา รพ.เอกชนมีการพัฒนามาตลอด แข่งขันกับต่างชาติได้ เป็นการทำตามนโยบายเมดิคัล ฮับ หากมีการคุมราคาก็จะทำให้รพ.เอกชนไม่มีศักยภาพในการแข่งขัน เพราะเมื่อคุมราคา ก็ไม่สามารถพัฒนาตนเอง ไม่สามารถนำเข้าเทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ๆ ได้

“ไม่ใช่ว่าเอกชนไม่ช่วย เพราะที่ผ่านมาก็ให้ความร่วมมือในการรักษาตามโครงการ นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) ซึ่งค่ารักษาผู้ป่วยวิกฤตสีแดง ตรงนี้ถึงแม้ว่าจะได้ในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ก็ยินดีให้ความร่วมมือ เพราะถือว่าช่วยเหลือผู้ป่วย ซึ่งเราเข้าใจดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” นายกสมาคมฯกล่าว

ด้าน นพ.เฉลิม กล่าวว่า ในการประชุมด่วนร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รพ.เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ทางที่ประชุมก็ได้รับฟังข้อมูลมากพอสมควร รวมถึงประเด็นที่ รพ.เอกชนต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถานพยาบาล ซึ่งข้อกำหนดในนั้นทำให้เกิดต้นทุนค่ารักษา ค่ายาเพิ่มขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจดี คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบมาก การจะนำมติ กกร.เข้า ครม.ต้องมีการคุยกันให้มากกว่านี้ จะเดินหน้า ถอยหลังอย่างไร คนไทยทุกคนที่เกิดมาล้วนมีสิทธิการรักษาพยาบาลที่รัฐดูแลทุกคน 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งไม่ต้องจ่ายเงินเลยด้วยซ้ำ ถ้า รพ.แรกดูแลไม่ไหวก็มีระบบส่งต่อไปตามระดับของ รพ.อยู่แล้ว การจะบอกว่าล้มละลายเพราะค่ารักษาแพงนั้นทำให้ตนงงมาก ถามว่าแล้วสิทธิที่มีอยู่ไปไหน ถ้าหากคนไทยเข้ารับการรักษาตามสิทธิ ตามระบบบาทเดียวก็ไม่เสีย แต่ถ้าเลือกที่จะข้ามสิทธิก็ต้องรู้ว่ามีค่าใช้จ่ายอย่างไร ถ้าพูดเรื่องไม่พอใจคุณภาพของ รพ.รัฐก็ต้องบอกให้มีการปรับปรุง

เมื่อถามว่ามีรายงานว่าเมื่อ 2-3 ปีก่อนมี รพ.เอกชน มีอัตราค่ารักษาเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า เป็นบาง รพ.เท่านั้น แต่ก็ต้องไปดูในรายละเอียดว่าเป็นเพราะมีการปรับบริการ ปรับการรักษา มีการนำเข้าเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียด เพราะแต่ละ รพ.มีรายละเอียด มีต้นทุนต่างกัน

 

ที่มา : มติชนออนไลน์