กรมเจ้าท่า คุมเข้ม เรือด่วน-แสนแสบ ห้ามปล่อยควันดำ ด้านขสมก. เร่งเปลี่ยนใช้น้ำมัน B20

เมื่อวันที่ 23 ม.ค. นายสมศักดิ์ ห่มม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับผู้ประกอบการเดินเรือโดยสารสาธารณะ ได้แก่ เรือด่วนเจ้าพระยา เรือคลองแสนแสบ เรือคลองภาษีเจริญ เรือท่องเที่ยว เรือแท็กซี่ เรือหางยาว และเรือข้ามฟาก ว่า ได้สั่งการให้เรือทุกประเภทเร่งลดปริมาณค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เกินมาตรฐานตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วยการลดความเร็วและเครื่องยนต์ไม่ให้เกิดควันดำเกินค่ามาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดที่ไม่เกิน 45% โดยได้จัดชุดปฏิบัติออกตรวจจับสอบเรือหากพบค่าควันดำเกินมาตรฐานให้สั่งหยุดบริการทันทีจนกว่าจะปรับปรุงได้ตามมาตรฐาน

ทั้งนี้ จากการตรวจเช็กเรือด่วนที่วิ่งให้บริการในแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นทางปากเกร็ด จ.นนทบุรี-ราษฎร์บูรณะ จำนวน 40 ลำจากทั้งหมด 51 ลำ พบควันดำเกินค่ามาตรฐาน 3 ลำ และจะเร่งตรวจสอบให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในสัปดาห์นี้

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ได้เปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันดีเซลมาใช้ไบโอดีเซล B20 แล้วทุกลำ รวมทั้งตรวจเช็กปั้มหัวฉีดและเข้มงวดอัตราเร่งขณะเรือเข้าเทียบท่า เพื่อไม่ให้เกิดควันดำด้วย

ส่วนเรือคลองแสนแสบ มีเรือให้บริการ 55 ลำ ตรวจสอบครบแล้ว พบควันดำ 6 ลำให้เร่งแก้ไขแล้ว ส่วนความเร็วให้ปฏิบัติตามที่เจ้าท่ากำหนดอย่างเคร่งครัด พร้อมกับจะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 15 วัน ทั้งนี้กรมเจ้าท่าจะตรวจเช็คเรื่องความดังของเสียงเครื่องยนต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานกำหนดอีกทุก 7 วัน ด้วย

ส่วนเรือคลองภาษีเจริญมีเรือให้บริการ 10 ลำ พบมีความเสี่ยงเกิดควันดำ 2 ลำให้แก้ไขทันทีแล้ว ขณะที่เรือท่องเที่ยว เรือแท็กซี่และเรือหางยาวจำนวน 45 ลำ ยังไม่พบควันดำ แต่กำชับให้เข้มงวดกวดขันตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด

สำหรับเรือข้ามฟากจะมีปัญหาขณะออกตัวที่ต้องเร่งเครื่องทำให้เกิดควันดำได้ จึงเข้มงวดเรื่องการเร่งเครื่องว่าอย่าเร่งมากจนเกินไป นอกจากนี้ ในส่วนของเรือลำเลียง ขอให้เข้มงวดใช้ความเร็วตามที่กรมเจ้าท่ากำหนด ซึ่งจะต้องเปลี่ยนไส้กรองและน้ำมันเครื่องทุก 250 ชั่วโมง รวมถึงต้องควบคุมความเร็วรอบไม่ให้เกิน 1,800 รอบต่อวินาที

ด้านนายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ และรักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ขสมก. ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซล B20 ในรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 2,075 คัน เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศ เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์ม และส่งเสริมการลด ปริมาณ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

โดยได้ทดลองใช้น้ำมันดังกล่าวกับรถโดยสารธรรมดายี่ห้อฮีโน่ มิตซูบิชิ และอีซูซุ จำนวน 17 คัน เมื่อช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. 2561 พบว่าเครื่องยนต์สามารถทำงานได้ตามปกติ และมีอัตราการสิ้นเปลืองใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล B7 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ขสมก. จึงขยายผลการใช้น้ำมันดีเซล B20 กับรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 2,075 คัน แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 จำนวน 815 คัน ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 2562 เป็นต้นไป ประกอบด้วย อู่รังสิต จำนวน 56 คัน อู่มีนบุรี และอู่สวนสยาม จำนวน 204 คัน อู่เมกาบางนา อู่แพรกษาบ่อดิน และอู่ปู่เจ้าสมิงพราย จำนวน 176 คัน อู่คลองเตย และอู่พระราม 9 จำนวน 256 คัน อู่แสมดำ และอู่พระประแดง จำวน 123 คัน

ระยะที่ 2 จำนวน 1,260 คัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2562 เป็นต้นไป ประกอบด้วยอู่บางเขน จำนวน 122 คัน อู่คลองเตย และอู่พระราม 9 จำนวน 79 คัน อู่พุทธมณฑล และอู่ไร่ขิง จำนวน 348 คัน อู่ท่าอิฐ อู่บางบัวทอง และอู่นครอินทร์ จำนวน 371 คัน อู่กำแพงเพชร และอู่สวนสยาม จำนวน 340 คัน

“หลังจาก ขสมก. เปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซล B20 กับรถโดยสาร จะช่วยลดมลพิษได้ 4% และลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 15% ซึ่งขณะนี้ได้เน้นย้ำให้รถเมล์ทุกคันห้ามมีควันดำ, ตรวจวัดความดังของเสียงเครื่องยนต์ อย่างต่อเนื่อง เดือนละ 2 ครั้ง และกำชับให้พนักงานขับรถโดยสาร ออกรถด้วยเกียร์ 1 ทุกครั้ง”

 

 

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์