นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทยในด้านกฎหมาย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ และสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นในระดับสากลที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมี โดยล่าสุดกฎหมายทั้ง 6 ฉบับ พิจารณาใกล้แล้วเสร็จ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
นายพิเชฐ กล่าวว่า ทั้งนี้ กระทรวงดีอี เตรียมหาแนวทางสำหรับระยะเวลาผ่อนผัน ให้กับกฎหมายบางฉบับ โดยเฉพาะ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดูแลปริมาณข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้เอกชนที่ประกอบธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก มีเวลาเตรียมตัวในการจัดให้มีระบบดูแลข้อมูลเหล่านี้ที่ยอมรับได้ เนื่องจากต้องยอมรับว่า ในยุคปัจจุบันข้อมูลของทุกคนกระจัดกระจายอยู่บนโลกไซเบอร์ จนทั่วโลกเกิดความตระหนักร่วมกันแล้วว่า ต้องสร้างให้เกิดการดูแล ไม่ให้ข้อมูลเหล่านั้นถูกนำไปใช้ในทางผิด และต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
สำหรับเนื้อหาใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ประเทศไทย ส่วนหนึ่งได้ศึกษาจากกฎหมายในระดับสากล ได้แก่ กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรป (จีดีพีอาร์) และกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) และส่วนหนึ่งศึกษาการจัดทำให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย
“ปีนี้คงเป็นปีแห่งกฎหมาย บางฉบับอาจจะเร็วหน่อย บางฉบับอาจจะมีระยะเวลาผ่อนผันให้ เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ภาคเอกชน มีระยะเวลาผ่อนผันราว 1 ปี แทนที่จะสั้น เนื่องจากเอกชนต้องมีการเตรียมตัว อาทิ หากเอกชนรายใดทำธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้าหลักพัน หมื่น หรือแสนราย ก็จำเป็นต้องมีระบบดูแลข้อมูลเหล่านี้ที่ยอมรับได้ เช่น มีระบบให้ความยินยอมของลูกค้าต่อข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนคำประกาศที่ระบุว่า ถ้าท่านยินยอม ให้คลิกที่นี่ หรือใช่ ซึ่งข้อความส่วนนี้ต้องแสดงไว้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งระบุวัตถุประสงค์การใช้งานข้อมูลลูกค้าด้วย” นายพิเชฐ กล่าว
สำหรับกฎหมายอีก 5 ฉบับที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาจาก สนช. เช่นกันโดยผ่านการพิจารณาวาระ 1 แล้วทุกฉบับตั้งแต่ปลายปี 2561 ได้แก่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์, พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมจากฉบับเดิมที่ใช้มานานแล้ว, พ.ร.บ. สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, พ.ร.บ.การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ซึ่งจัดทำร่วมกันกระหว่างกระทรวงดีอี และกระทรวงการคลัง และ พ.ร.บ.สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย
ที่มา:มติชนออนไลน์