“ม.ร.ว.ดิศนัดดา” ปิดทองหลังพระ 9 ปี พื้นที่ต้นแบบ 9 จังหวัด ดันชาวบ้านรายได้เพิ่ม 5 แสน/ครัวเรือน

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ แถลงผลการดำเนินของสถาบันฯ ในช่วง 9 ปี ในพื้นที่ต้นแบบ เก้าจังหวัด ทำให้ชาวบ้านในโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้น 2,308 ล้านบาท เฉลี่ยครัวเรือนละ 508,818 บาท ผลตอบแทน 2.4 เท่าของการลงทุน เตรียมขยายงานชายแดนทั้งภาคใต้และภาคเหนือนำแนวพระราชดำริไปช่วยแก้ปัญหาความมั่นคง

ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าวว่า นับจากการก่อตั้งปิดทองหลังพระฯ ในปี 2553 และเริ่มดำเนินการพื้นที่ต้นแบบในจังหวัดน่านเป็นแห่งแรก ในปัจจุบันพื้นที่ต้นแบบได้ขยายไปยังทุกภาค ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ อุทัยธานี เพชรบุรี และสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยรายงานประเมินผลการทำงานในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วยด้านแหล่งน้ำ มีประชาชนได้รับน้ำ 79,022 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 275,107 ไร่ ด้านอาชีพ มีประชาชนเข้าร่วมโครงการพัฒนาอาชีพ 4,536 ครัวเรือน

“ในช่วงเวลาเก้าปี ปิดทองหลังพระฯ ใช้งบประมาณด้านระบบน้ำและส่งเสริมอาชีพรวม 961.6 ล้านบาท ทำให้เกิดรายได้ทางตรง 2,308 ล้านบาท คิดเป็น 2.4 เท่าของเงินลงทุน และเท่ากับเฉลี่ยครัวเรือนละ 508,818 บาท” ม.ร.ว.ดิศนัดดากล่าว

นอกจากนี้ปิดทองหลังพระฯ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา โดยมีการส่งเสริมให้ประชาชนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งในปัจจุบันทุกพื้นที่เกิดกองทุน วิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์รวม 70 กลุ่ม มีเงินทุนหมุนเวียน ทรัพย์สินรวมมูลค่า 15.78 ล้านบาท

ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กล่าวต่อไปว่า ผลจากการส่งเสริมความรู้ ทำให้เกิดอาชีพทางการเกษตรใหม่ๆ และประชาชนจำนวนมากสามารถต่อยอด พัฒนาการทำเกษตร ไปเป็นพืชและสัตว์เศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงได้ เช่น ทุเรียนคุณภาพและแพะพันธุ์พระราชทาน ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผักปลอดภัยในจังหวัดกาฬสินธุ์ การแปรรูปผลผลิต ภายใต้ตราสินค้า “ภูธารา” ที่จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น ขณะที่มีพื้นที่พัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรมแล้ว เช่น เพชรบุรีและอุทัยธานี

ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดี ที่ผลการศึกษาการรับรู้และความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ต้นแบบ 5 จังหวัด โดยคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อผลที่เกิดขึ้นในระดับสูงมากทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการทำงานของปิดทอง หลังพระฯ ประกอบด้วย จังหวัดน่าน (2.24) อุดรธานี (2.53) เพชรบุรี (2.39) กาฬสินธุ์ (2.62) และอุทัยธานี (2.39) จากคะแนนเต็ม 3

“จุดเด่นที่สำคัญในปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงต้นๆ คือ ตอนเริ่มต้นเราทำงานใกล้ชิดกับส่วนราชการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำและผลผลิต แต่ปีที่ผ่านมาเกิดกระแสการร่วมงานกับเอกชนที่ชัดเจน มีภาคธุรกิจแสดงความสนใจเข้ามาร่วมกับปิดทองหลังพระฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับว่าสอดคล้องกับแนวพระราโชบาย สืบสาน รักษา ต่อยอด เป็นอย่างยิ่ง”

สำหรับการดำเนินงานในช่วงปี 2561 นั้น พบว่าครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 การดำเนินการของปิดทองหลังพระฯ ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งสถาบัน การศึกษา ภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้นแบบปิดทองหลังพระฯ ทั้ง 7 พื้นที่ 9 จังหวัด มีรายได้เพิ่มขึ้นรวม 113.7 ล้านบาท


สำหรับแนวทางในอนาคตนั้น ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าวว่า นอกจากการเพิ่มเติมความเข้มแข็งให้แก่พื้นที่ต้นแบบต่างๆ นี้แล้ว จะเพิ่มบทบาทในการนำแนวพระราชดำริไปพัฒนาชีวิตประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีปัญหาความมั่นคง เช่นในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่มีความรุนแรงและจังหวัดชายแดนเหนือที่เป็นแหล่งผ่าน ยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ นอกจากนี้กำลังพิจารณาแผนการจัดตั้งศูนย์จัดการและส่งเสริมองค์ความรู้การพัฒนาตามแนวพระราชดำริอีกด้วย