เผย “สงขลา-ตรัง-สตูล” ยอดผู้ป่วยจากเคมีกำจัดศัตรูพืชพุ่ง ภาพรวมทั้งประเทศนับ 2 พันราย

ผอ.สคร.12 เผย “สงขลา-ตรัง-สตูล” ยอดผู้ป่วยจากพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชพุ่ง ขณะที่ตัวเลขภาพรวมทั้งประเทศเฉลี่ย 2,013 ราย แนะเกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นพ.สุวิช ธรรมปาโล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 (สคร.12) เปิดเผยสถานการณ์การเจ็บป่วยจากพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ว่า ในพื้นที่ สคร.12 ซึ่งครอบคลุม 7 จังหวัด ประกอบด้วย จ.สงขลา จ.พัทลุง จ.ตรัง จ.สตูล จ.ยะลา จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส พบว่ามีแนวโน้มผู้ป่วยสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าเกิดจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าในปี 2561 จ.สงขลา มีอัตราผู้ป่วยสูงที่สุด 6.86 คนต่อแสนประชากร รองลงมา จ.ตรัง 5.15 คนต่อแสนประชากร จ.สตูล 4.13 คนต่อแสนประชากร จ.ยะลา 3.97 คนต่อแสนประชากร จ.พัทลุง 3 คนต่อแสนประชากร จ.นราธิวาส 2.66 คนต่อแสนประชากร และ จ.ปัตตานี 0.96 คนต่อแสนประชากร

นพ.สุวิช กล่าวว่า เมื่อตรวจสอบและเปรียบเทียบข้อมูลจากการเก็บตัวอย่างตั้งแต่ปี 2558-2561 พบว่า ตัวเลขผู้ป่วยในพื้นที่ สคร.12 มีแนวโน้มสูงขึ้นจริง และ จ.สงขลา ยังมีอัตราสูงที่สุด โดยจาก 4.22 คนต่อแสนประชากร ในปี 2558 เพิ่มเป็น 6.86 คนต่อแสนประชากร ส่วน จ.ตรัง จาก 3.30 คนต่อแสนประชากร ในปี 2558 เพิ่มเป็น 5.15 คนต่อแสนประชากร จ.ยะลา จาก 1.79 คนต่อแสนประชากร เพิ่มเป็น 3.97 คนต่อแสนประชากร ขณะนี้มีบางจังหวัดที่ตัวเลขไม่เปลี่ยนแปลง มากนัก คือ จ.นราธิวาส จาก 2.95 คนต่อแสนประชากร เพิ่มขึ้นเป็น 2.66 คนต่อแสนประชากร จ.ปัตตานี จาก 0.81 คนต่อแสนประชากร เป็น 0.96 คนต่อแสนประชากร ขณะเดียวกัน มี 2 พื้นที่ที่อัตราลดลง คือ จ.พัทลุง จาก 6.82 คนต่อแสนประชากร ในปี 2558 ลดลงเหลือ 3 คนต่อแสนประชากร และ จ.สตูล จาก 6.09 คนต่อแสนประชากร ในปี 2558 ลดลงเหลือ 4.13 คนต่อแสนประชากร

“สารเคมีที่ใช้ในทางการเกษตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตรเอง ซึ่งมีความเป็นอันตรายต่อร่างกาย ทั้งแบบพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง และยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภค ทั้งนี้ในพื้นที่ สคร.12 พบว่าสารเคมีที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดการเจ็บป่วย คือ สารเคมีกำจัดแมลง สารเคมีกำจัดวัชพืช และสารเคมีอื่นๆ ที่ใช้ในทางการเกษตร ตามลำดับ” นพ.สุวิช กล่าวและว่า สารเคมีกำจัดศัตรูพืชสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ ทางการหายใจ ทางปาก และทางผิวหนัง ฉะนั้นจึงไม่ควรฉีดพ่นในขณะลมแรง หรือฝนตก และควรยืนอยู่เหนือลมเสมอ สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เช่น หน้ากากป้องกันสารเคมี เป็นต้น ห้ามกินอาหาร น้ำ หรือสูบบุหรี่ในขณะผสมสารเคมี ตรวจเช็คอุปกรณ์การฉีดพ่นให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่ชำรุดก่อนนำไปใช้ในกรณีที่หัวฉีดเกิดการอุดตัน ห้ามใช้ปากเป่าหัวฉีดพ่นแต่ให้ถอดหัวฉีดออกมาทำความสะอาดโดยใช้การแช่ในน้ำหรือใช้ไม้เขี่ยแล้วล้างน้ำ และควรสวมใส่ถุงมือ และเสื้อผ้าให้มิดชิด หากสารเคมีหกเปรอะเปื้อนร่างกายให้ใช้น้ำสะอาดชำระล้างนานอย่างน้อย 15 นาที รีบอาบน้ำฟอกสบู่ และเปลี่ยนเสื้อผ้า

นพ.สุวิช กล่าวว่า สารเคมีกำจัดศัตรูพืช แบ่งเป็น 1.สารกำจัดแมลง หากได้รับในปริมาณความเข้มข้นสูงทันที ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน มีอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ รูม่านตาหดเล็ก น้ำมูก น้ำตา น้ำลายและเหงื่อออกมาก อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย หัวใจอาจเต้นช้าหรือเร็ว ความดันเลือดอาจจะต่ำหรือสูง กล้ามเนื้อเป็นตะคริวและอ่อนแรง รวมถึงอาจมีอาการหายใจแผ่ว บางรายอาจชัก ซึม หรือหมดสติ บางรายเกิดอัมพาตของเส้นประสาทสมอง กรณีสัมผัสทางผิวหนัง พบอาการผื่นคันแสบร้อน ชา บริเวณที่สัมผัส 2.สารกำจัดวัชพืช อาการพิษเฉียบพลัน มักทำให้เกิดแผลในปาก เจ็บคอ กลืนลำบาก อาเจียน ปวดท้อง แสบร้อนในอก ระยะต่อมาเกิดปัสสาวะออกน้อย ไตวาย ตับอักเสบ หายใจหอบเหนื่อย และมีอัตราการเสียชีวิตสูงจากระบบอวัยวะหลายระบบไม่ทำงาน หากสัมผัสทางผิวหนัง ทำให้เกิดผิวหนังไหม้ แผลพุพอง ปวดแสบปวดร้อน และเล็บเปลี่ยนสีขาวหรือเหลือง 3.สารกำจัดเชื้อรา หากได้รับปริมาณมากๆ หรือความเข้มข้นสูง ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน มักพบอาการ คอแห้ง แสบจมูก ไอ เคืองตา ตาแดง คันตามผิวหนัง และผื่นแดง และ 4.สารกำจัดหนูหรือสัตว์กัดแทะอื่น ส่วนใหญ่มีผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง บางรายเกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน และบางรายมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบากร่วมด้วย

นพ.สุวิช กล่าวว่า ล่าสุด สคร.12 เชิญชวนเกษตรกร ลด ละ เลิกการใช้สารเคมี โดยทำเกษตรอินทรีย์ และใช้สารชีวภาพแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ เกษตรกรควรมีพฤติกรรมที่ปลอดภัย ด้วยการ “อ่าน ใส่ ถอด ทิ้ง” อ่านฉลากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชก่อนใช้ และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ใส่อุปกรณ์เครื่องมือป้องกันอันตรายจากสารเคมีขณะทำงาน เช่น เสื้อผ้ามิดชิดรัดกุม สวมหน้ากาก ถุงมือ และรองเท้า เป็นต้น ถอดชุด และอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ขณะฉีดพ่นหรือทำงาน แยกซักจากเสื้อผ้าอื่นๆ แล้วรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที และทิ้งผลิตภัณฑ์บรรจุสารเคมีกำจัดศัตรูพืชให้ถูกต้อง คัดแยกออกจากขยะทั่วไป ให้อยู่ในกลุ่มขยะอันตราย ทิ้งให้ห่างไกลจากแหล่งน้ำ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปี 2544-2560 รายงานผู้ป่วยได้รับพิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของประเทศไทย จำนวน 34,221 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 49 ราย เฉลี่ยป่วยปีละ 2,013 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ 45-54 ปี ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยอัตราป่วยด้วยโรคพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในปี 2561 พบมากที่สุดใน จ.ร้อยเอ็ด รองลงมา จ.อุตรดิตถ์ และ จ.ลำปาง พบผู้ป่วยสูงสุดในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน เกษตรกรมักทำการเพาะปลูกและมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชปริมาณมาก

 

ที่มา  มติชนออนไลน์