ศาลสั่งจำคุก 39 ปี 13 กระทง ‘พระครูกิตติ’ เจ้าคณะอำเภอชนแดน คดีฟอกเงินทอนวัด

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาฟอกเงินทอนวัด ตจว.12 แห่งสำนวนแรก “พระครูกิตติฯ” เจ้าคณะอำเภอชนแดน เจอคุก 13 กระทง 39 ปี คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ศาลลดโทษเหลือคุก 26 ปี ทนายรอยื่นประกันทั้งผ้าเหลือง

เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2562 ที่ห้องพิจารณาคดี 8 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี เวลา 09.30 น. ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีฟอกเงินทอนวัด สำนวนแรกคดีดำหมายเลข อท.38/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริต 1 ยื่นฟ้อง “พระครูกิตติ พัชรคุณ” เจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค หรือนายสมเกียรติ ขันทอง อายุ 55 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานฟอกเงินโดยสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินนั้น ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5 (1) (2) (3),9, 60

กรณีที่ “พระครูกิตติ” ร่วมกับ “นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์” อายุ 60 ปี อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. ซึ่งตัวยังหลบหนีตั้งแต่ชั้นสอบสวนของ ปปป. (อัยการมีความเห็นสั่งให้ฟ้องไว้แล้ว พร้อมให้ออกหมายจับติดตามตัวมาดำเนินคดีภายในอายุความ 20 ปี ซึ่งคดีจะขาดอายุความในวันที่ 21 ม.ค.79) วางแผนยักย้าย-ถ่ายโอนเงินทอนวัดราว 24 ล้านบาทเศษ ที่ได้เบียดบังจากการทุจริตจัดสรรงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ที่เป็นเงินอุดหนุนให้ 12 วัด 13 รายการ จำนวน 28 ล้านบาท ในการบูรณะซ่อมแซมวัด หรือเพื่อโครงการศึกษาพระปริยัติธรรม หรือโครงการเผยแผ่กิจกรรมทางศาสนา

โดยพวกจำเลย ร่วมกันเบียดบังเงินส่วนที่ให้กับวัดในเขต จ.เพชรบูรณ์ , ตาก , นครสวรรค์ , ชุมพรไป ด้วยการแบ่งส่วนเงินงบประมาณเพียงเล็กน้อยประมาณ 50,000 บาทถึงหลักแสนบาท จูงใจให้วัดยินยอมนำเงินงบประมาณฯ ที่จะถูกจัดสรรมานั้นเข้าบัญชีวัด แล้วให้โอนคืนเงินนั้นกลับให้พวกตนโดยใช้บัญชีธนาคารของวัดเป็นเครื่องมือปกปิดอำพรางการกระทำความผิดของพวกตน ให้ดูเสมือนว่าเงินที่โอนและถอนออกจากบัญชีวัดเป็นเงินที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่เงินซึ่งถูกทอนมานั้นจะนำเข้าบัญชีหรือส่งมอบเป็นเงินสดให้แก่ “พระครูกิตติฯ” เพื่อรวบรวมมอบให้ “นายนพรัตน์” อดีต ผอ.พศ. อันเป็นการกระทำผิดฐานฟอกเงิน

ซึ่งอัยการฟ้องเมื่อวันที่ 22 ก.พ.61 ขณะที่จำเลยให้การปฏิเสธ พร้อมต่อสู้คดี โดยระหว่างการพิจารณาได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์มูลค่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยให้เก็บรักษาหนังสือเดินทางของจำเลยไว้และให้คืนเมื่อสิ้นสุดสัญญาประกันแล้วด้วย

เมื่อถึงเวลานัด วันนี้ “พระครูกิตติฯ” ยังอยู่ในสมณเพศ สวมจีวร ได้เดินทางมาพร้อมกับลูกศิษย์ประมาณ 5-6 คน โดยเดินทางมาถึงศาลตั้งแต่ก่อน 08.00 น.

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว มีทั้งเจ้าหน้าที่ ปปง. , นิติกรของ พศ.จ.เพชรบูรณ์ , พระในวัดต่างๆ ที่นำบัญชีของวัดให้จำเลยรับโอนเงิน ซึ่งรับรู้การโอนและถอนเงิน รวมทั้งลูกศิษย์คนสนิทของพระครูกิตติ เบิกความสอดคล้องกัน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับนายนพรัตน์ ที่ได้จัดสรรงบ พศ. มาให้กับ 12 วัดใน จ.เพชรบูรณ์, นครสวรรค์, ตาก และชุมพร โดยที่แต่ละวัดไม่ได้ทำคำของบแต่อย่างใด แต่นายนพรัตน์ ให้นำบัญชีของวัดมาเพื่อจะโอนเงินให้แต่ละวัดนับล้านบาท โดยเมื่อโอนเงินแล้วให้แต่ละวัดโอนเงินกลับส่งคืนให้จำเลย เพื่อส่งต่อให้นายนพรัตน์ อ้างว่าจะนำไปให้วัดจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่ไม่มีการนำไปดำเนินการดังกล่าวจริง และได้นำมาแบ่งปันกัน และบางส่วนจำเลยนำมาให้จ่ายส่วนตัว เช่นที่อ้างว่าได้พาพระและสามเณรไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ซึ่งการกระทำนั้นเป็นการจัดสรรงบโดยมิชอบและหลักเกณฑ์ที่ พศ.ยึดถือปฏิบัติ ซึ่งงบที่อ้างว่าที่จะใช้บูรณปฏิสังขรณ์วัดจะต้องมีคำขอจากวัด ไม่ใช่ พศ.ดำเนินการจัดสรร ซึ่งการที่จำเลยอ้างว่าเข้าใจว่าการที่มีเจ้าหน้าที่ พศ.มาแจ้งและรับเงินคืน แต่งชุดราชการและนั่งรถตู้ตราสัญลักษณ์ จึงเชื่อว่าเป็นการจัดสรรงบโดยชอบนั้น เป็นการกล่าวอ้างง่ายเกินไป เพราะจำเลยได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชั้นปกครอง ย่อมทราบถึงระเบียบหลักเกณฑ์ที่ได้ปฏิบัติมา จะอ้างวิธีการคนหมู่มากนำมาปฏิบัติใช้นั้นก็ย่อมจะไม่ชอบ ซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยเป็นเจ้าคณะอำเภอถือเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ ก็จะต้องรับโทษ 2 เท่า

จึงพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษ 13 กระทง กระทงละ 3 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุก 26 ปี ส่วนคำขออื่นให้ยก

โดยทนายความของพระครูกิตติฯ ได้เปิดเผยสั้นๆ ว่าขณะนี้กำลังเตรียมคำร้องและหลักทรัพย์เพื่อจะยื่นขอประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

ทั้งนี้ ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ก็ได้ควบคุมตัว “พระครูกิตติฯ” จำเลยไปยังห้องคุมขังชั้นใต้ถุนศาล ระหว่างรอฟังผลการขอประกันตัวสู้คดีชั้นอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ “พระครูกิตติฯ นั้น” ยังถูกอัยการฟ้องคดีอนาจารเด็กหญิง 3 คน อายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งถูกล่อลวงไปยังกุฏิที่พักของ “อดีตพระครูกิตติ” เมื่อช่วงปี 2548-2549 ไว้ต่อศาลอาญาด้วย โดย “พระครูกิตติฯ” ได้ประกันตัวไปวงเงิน 200,000 บาท ขณะที่ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศเช่นกัน ส่วนคดี ศาลอาญาสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วกำหนดนัดฟังคำพิพากษาคดีอนาจารเด็ก ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการร่วมฟอกเงิน การทุจริตงบประมาณของ พ.ศ.ราว 150 ล้านบาทที่เป็นเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ปี 2557 และโครงการศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนา และโครงการของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงฯ ของวัดสระเกศฯ จำนวน 63,700,000 บาท

มีคดีที่อัยการสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริต ได้ยื่นฟ้อง อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในวัดเขต กทม. อย่างวัดสามพระยาและวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กับกลุ่มฆราวาสชาย-หญิง รวม 10 รายที่ร่วมรับเงิน ฐานฟอกเงินและปฏิบัติหน้าที่่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไว้แล้วต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง รวม 3 สำนวน คดีหมายเลขดำ อท.196/2561 , อท.197/2561 , อท.205/2561 โดยทั้งหมดถูกขังในเรือนจำไม่ได้รับการประกันตัวชั้นพิจารณา ซึ่งคดีอยู่ระหว่างรอไต่สวนพยาน

ส่วนกลุ่มอดีตข้าราชการ พศ.ระดับริหารนั้นได้แก่ นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. กับพวกรวม 4 คน อัยการก็ได้ยื่นฟ้องคดีไว้แล้วต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 เป็นคดีหมายเลขดำ อท.3/2562 ซึ่งคดีอยู่ระหว่างรอไต่สวนพยานเช่นกัน

 

ที่มา:มติชนออนไลน์