
เมื่อวันที่ 7 กันยายน ที่โรงพยาบาลราชวิถี นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กล่าวในงานสัมมนาเนื่องในวันการป้องกันการฆ่าตัวตาย ครั้งที่ 11 ซึ่งตรงกับวันที่ 10 กันยายน ว่า ปัจจุบันหน่วยงานต่างๆให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการฆ่าตัวตายมาก ซึ่งในประเทศไทยมีการพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ ปีละ 30,000 ถึง 40,000 รายต่อปี และมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จเฉลี่ยปีละ 6 ต่อหนึ่งแสนประชากรหรือปีละ 4,000 คนหรือ 2 ชั่วโมงต่อหนึ่งคน ซึ่งจากข้อมูลใน 2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ในปี 2558 มีค่าเฉลี่ยที่ 6.47 คน ต่อ 1 แสนประชากร และในปี 2559 คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยที่ 6.35 คน ต่อ 1 แสนประชากร อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลซึ่งภายในปี 2564 จะต้องทำให้เหลือค่าเฉลี่ยที่ 6 คน ต่อ 1 แสนประชากร และจังหวัดที่ฆ่าตัวตายเยอะที่สุดในปี 2557-2558 คือ จ.ลำพูน และในปี 2559 ที่กำลังรวบรวมข้อมูลคาดว่าจะสูงสุดใน จ.จันทบุรี และภาคกลางมีแนวโน้มว่าจะมีการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้น
นพ.ณัฐกร กล่าวอีกว่า ยังพบว่าจะมีการฆ่าตัวตายสูงที่สุดใน 3 ช่วง คือ ช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ช่วงเดือนกรกฎาคม ในเทศกาลเข้าพรรษา และ ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม ช่วงเทศกาลสงกรานต์ กลุ่มที่มีการฆ่าตัวตายมากที่สุดคือ 1.วัยทำงานอายุ 35-43 คน รองลงมาคือผู้สูงอายุอายุ 70 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ในการลดจำนวนการฆ่าตัวตายควรรณรงค์ให้ทุกคนเห็นคุณค่าในตัวเอง เอาชนะตัวเองจากปัญหาบางสิ่งบางอย่างให้ได้ เพราะกำลังใจที่ดีที่สุดคือกำลังใจจากตัวเอง นอกจากนี้ผู้ใกล้ชิดก็ควรรับฟัง เพราะผู้จะฆ่าตัวตายมักจะลังเล ซึ่งควรรับฟังโดยใช้เหตุผล และอย่าลืมขอบคุณที่เขาเล่าเรื่องให้ฟัง อย่ามองข้ามคำว่าขอบคุณ เพราะสำคัญมาก การที่มีคนมาขอบคุณเรา จะรู้สึกว่าเรามีตัวตนใน โลก มีค่าต่อคนอื่น
ผศ.นพ.ปราการ ถมยางกูร นายแพทย์เชี่ยวชาญ ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช รพ.ราชวิถี กล่าวว่า คนที่กำลังคิดจะฆ่าตัวตายจะมีอีกความคิดว่าต้องการคนที่เข้าใจคนที่จะมาช่วยเขาได้ ดังนั้น การฆ่าตัวตายป้องกันและช่วยเหลือได้หากเข้าไปได้ทันเวลา เห็นได้จากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะมีสายด่วนให้คำปรึกษา เช่น สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 สายด่วนสมาคมมาริตันส์แห่งประเทศไทย 02-7136793 ซึ่งคนที่กำลังคิดจะฆ่าตัวตายจะมีสัญญานเตือนที่แตกต่างกันไป เช่น บางคนจากเคยเป็นคนร่าเริงกลับมีความซึมเศร้า ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง บางคนมีสัญญาณของความซึมเศร้าให้เห็น แต่เมื่อตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวตายกลับร่าเริง
“รายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่า การฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 ครั้ง จะส่งผลกระทบต่อคน 6 คนขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติ หรือเพื่อน หรือแม้กระทั่งในกรณีผู้ฆ่าตัวตายเคยเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาจะรู้สึกเศร้าเช่นเดียวกัน และผู้ที่ได้รับข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ 10% จะรู้สึกสะเทือนใจ วิธีที่จะเยียวยาได้คือ ครอบครัวต้องคิดถึงสิ่งดีๆ ที่ผู้จากไปเคยทำ และอยู่ต่อไปเพื่อทำสิ่งดีๆให้ผู้จากไปแล้ว นอกจากนี้สังคมหรือคนใกล้ชิดสามารถช่วยด้วยการ ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ให้เขาสามารถออกมาจากมุมมืดได้”ผศ.นพ.ปราการ กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์