บรรจุ COVID-19 โรคติดต่อชนิดที่ 14 รองรับแผนยกระดับ 3

เมื่อเวลา 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงมาตรการควบคุมการลักลอบผ่านแนวชายแดนธรรมชาติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ว่า ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปตรวจสอบว่าใครเกี่ยวข้องต้องถูกลงโทษทางกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายตรวจสอบ คัดกรองการเข้าออกทุกด่าน ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และช่องทางธรรมชาติ และได้ย้ำทุกกองกำลังให้ดำเนินการตามกระบวนการคัดกรองตรวจสอบ ผิดกฎหมายต้องส่งกลับ ซึ่งกองทัพบกได้เสริมกำลังทหารเพื่อช่วยคัดกรอง ขณะนี้ได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขยังไม่พบการติดเชื้อ

สำหรับกรณีประเทศเกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อแบบก้าวกระโดดนั้น ขณะนี้รัฐบาลมีมาตรการเพื่อรองรับหากยกระดับเป็นระยะที่ 3 ซึ่งขณะนี้สถานการณ์อยู่ในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 คือ ระยะที่ 1 เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้น จะมีมาตรการอย่างไร คัดกรองอย่างไร ระยะที่ 2 ติดเชื้อจากประเทศต้นทางที่เป็นแหล่งกำเนิด โดยเตรียมรองรับระยะที่ 3 หรือ กรณีเกิดการแพร่ระบาดของคนในประเทศ ทั้งนี้ จำนวนผู้อยู่ระหว่างมาตรการติดตามและต้องตรวจสอบเป็นระยะประมาณ 1 พันคน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลได้ประชุมเตรียมการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าจะมีมาตรการอะไรบ้าง บางอย่างต้องมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งในวันนี้จะมีการประชุมที่กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มเติม ว่าจะทำอย่างไร พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อครอบคลุมหรือยัง เพราะปัจจุบันควบคุมโรคเพียง 13 ชนิดเท่านั้น ไม่ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนก แต่ควรจะมีกฎหมายอะไรรองรับหรือไม่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานสะดวกขึ้น และทำกฎหมายให้รัดกุมขึ้น เช่น เจ้าหน้าที่ อย. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ต้องได้รับการดูแลเพื่อระมัดระวังการแพร่กระจายในประเทศ รัฐบาลให้ความสำคัญกับสุขภาพ แต่เมื่อถึงความจำเป็นรัฐบาลก็มีมาตรการออกมาเพื่อรองรับตามลำดับ”

“คำว่ายกระดับ หมายความว่า มาตรการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อมีไม่ครบ ดังนั้นจึงต้องมีการหารือกันว่าควรจะนำเข้าสู่การพิจารณาหรือไม่ เพื่อเตรียมมาตรการให้เจ้าหน้าที่ได้มีการดูแลได้มากยิ่งขึ้น ในเรื่อง อย. การทดลองและผลิตยาเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ได้หมายความว่ามีการแพร่ระบาดมากขึ้น ขออย่านำไปบิดเบือน”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำว่า ต้องเตรียมมาตรการรองรับในอนาคต เนื่องเป็นโรคระบาดเกิดใหม่

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ได้รับคำชมเชยจากหลายประเทศ นอกเหนือจากงานของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การฆ่าเชื้อ การทำความสะอาดระบบขนส่งสาธารณะของกระทรวงคมนาคม โดยเน้นมาตรการเชิงรุก

“รัฐบาลพยายามวางแผนเพื่อรองรับล่วงหน้า เพื่อบริหารความเสี่ยง ซึ่งขณะนี้การแพร่ระบาดอยู่ในระยะที่ 2 คือ ระยะแรก การติดเชื้อมาจากผู้ที่มาจากต่างประเทศทั้งหมด ระยะที่ 2 คือ เริ่มมีการติดเชื้อจากผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและติดเชื้อมายังคนไทย แต่ยังไม่ถึงระยะที่ 3 คือ มีการติดเชื้อระหว่างคนไทยในประเทศด้วยกัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น เรายังอยู่ในระยะที่ 2”

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกำชับในที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมโรคอุบัติใหม่แห่งชาติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ต้องมีมาตรการรองรับ ซึ่งเป็นไปตามหลักการบริหารความเสี่ยงที่ดี

“เมื่อถึงระยะที่ 3 เมื่อไร ให้มั่นใจว่าเรามีสถานที่ มีอุปกรณ์ และบุคลากรพร้อม ขอย้ำว่าเราอยู่ในระยะที่ 2 ยังไม่ถึงระยะที่ 3 แต่เป็นการเตรียมการไว้ล่วงหน้าเท่านั้น”

ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะมีการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรค เพื่อหารือเรื่อง พ.ร.บ.โรคติดต่อ เนื่องจากปัจจุบันควบคุมโรคติดต่อเพียง 13 โรคเท่านั้น แต่ยังไม่มีโรคอุบัติใหม่ COVID-19 ซึ่งคณะกรรมการควบคุมโรคจะพิจารณาร่วมกันในช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.พ.) โดยจะมีการแถลงเพิ่ม COVID-19 เข้าไปและจะมีมาตรการอะไรเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของคนในประเทศและคนต่างประเทศที่จะเดินเข้ามาในประเทศไทย

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังกระทรวงพาณิชย์ประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม โดยห้ามส่งออกหน้าอนามัยออกนอกประเทศเกิน 500 ชิ้น โดยกรมศุลกากรแจ้งว่า ได้ยึดหน้ากากอนามัยที่ส่งออกผิดกฎหมายได้แสนกว่าชิ้นแล้ว ซึ่งจะนำมาจัดสรรภายในประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ประสานกับโรงงานผู้ผลิต จำนวน 10 กว่าแห่ง รวมถึงทำงานร่วมกับองค์กรเภสัชกรรมและอย.เพื่อจัดจำหน่ายและจัดสรรให้กับร้ายค้าปลีก และเครือข่ายร้านขายยาทั่วประเทศ ยืนยันว่าโรงพยาบาลที่เป็นเครือข่ายองค์การเภสัชกรรมจะมีหน้ากากอนามัยเพียงพอเพราะมีโควตาจัดสรรให้

“ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ระงับการส่งออกของบริษัทรายใหญ่ได้หลายสิบล้านชิ้น แต่ขณะนี้ปัญหาคือการหลบเลี่ยงการประกาศห้ามเคลื่อนย้ายหน้ากากอนามัยเกิน 500 ชิ้น โดยเคลื่อนย้ายเพียง 400 ชิ้น”