‘บรรยง พงษ์พานิช’ เสนอ 6 ข้อ ครบ 6 เดือน ไวรัสครองโลก

วันที่ 30 มิถุนายน 2563 เพจเฟซบุ๊กชื่อ Banyong Pongpanich ของนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร และ อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือ ซูเปอร์บอร์ด ได้โพสต์ข้อความ ข้อเสนอ 6 ข้อถึงรัฐบาล เพื่อบรรเทาความถดถอยทางเศรษฐกิจ ระบุว่า

ข้อเสนอจากคนนอกวงอำนาจ…ในวันครบหกเดือนที่ไวรัสครองโลก (30มิย.2563)

ผมมีข้อเสนอเล็กๆ ห้าหกข้อ สำหรับรัฐบาลที่ชนะโควิดอย่างใสสะอาด แต่กำลังต้องพาประเทศเข้าต่อสู้กับความถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

1. รัฐบาลควรเพิ่มงบเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกอย่างน้อยหนึ่งล้านล้านบาท โดยไม่ต้องกังวลมากเรื่องหนี้สาธารณะ เพราะถึงเศรษฐกิจจะถดถอยสัก 10% หนี้สาธารณะเราก็จะไม่เกิน 60% (แต่อาจปริ่มเพดาน) ด้วยว่าหนี้สาธารณะของเราประมาณหนึ่งล้านๆ เป็นหนี้รัฐวิสาหกิจ (ที่กว่าครึ่งรัฐบาลไม่ได้ค้ำประกัน) หนี้เหล่านี้รัฐวิสาหกิจใช้คืนได้เอง โดยไม่ต้องรบกวนภาษีประชาชน (แม้แต่การรถไฟที่มีทรัพย์สินมหาศาล)

2. รัฐบาลควรประกาศแผนลดหนี้สาธารณะในอนาคตให้ชัดเจน คือ การขึ้นภาษี ซึ่งภาษีที่ขึ้นได้ง่ายและแทบไม่กระทบกับคนจนเลยสองอย่าง คือภาษีเงินได้นิติบุคคล (corporate income tax) ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ลดจาก 30% มา 20% ซึ่งเป็นการลดมากไป ไม่ได้เพิ่มศักยภาพการแข่งขันคุ้มค่า น่าจะขึ้นกลับไปที่ 25% ก็จะได้เงินเพิ่มประมาณปีละ 200,000 ล้านบาทในปีปกติ

และอีกภาษีที่น่าขึ้นได้เพราะคนจนไม่เดือดร้อนและจัดเก็บได้ง่าย คือ ภาษีทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่ยกหนีไม่ได้ กับควรทบทวนสิทธิภาษีภายใต้ BOI เช่น การลงทุนใน Nontradables ไม่ควรได้รับสิทธิ และพยายามใช้การจูงใจด้านอื่น

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดหนี้สาธารณะได้อย่างรวดเร็วคือการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถ้าขายหมดอย่าง Tatcher ทำ ก็จะได้เงินลดหนี้สองล้านๆ ได้หมดเลย แถม รสก.ทั้งหลายก็จะไปอยู่ภายใต้ Governance ของตลาด มีโอกาสเป็นบริษัทระดับโลกตามอย่าง British Airways, British Petroleum, British Telecom และยังจะช่วยท่านผู้นำไม่ให้ต้องปวดหัวกับการแย่งกระทรวงของนักการเมืองได้อีกด้วย

3. ในการเยียวยาธุรกิจเพื่อรักษาการจ้างงาน ควรให้เงินช่วยเหลือ โดยใช้ฐานข้อมูลจากภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น อาจช่วยชดเชยให้เป็นร้อยละของยอดขายที่ลดลงจากช่วงปีที่แล้ว โดยพิจารณาจากส่วน gross margin ในแต่ละอุตสาหกรรม และมีข้อแม้ว่าต้องรักษาการจ้างงานไม่น้อยกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยขยายฐานภาษีมูลค่าเพิ่มในระยะยาวด้วย

4. มาตรการฟื้นฟูนั้น ควรจะกันเงิน สักหนึ่งถึงสองแสนล้านบาทมาจัดสรรให้ท้องถิ่นไปเลยตามจำนวนประชากรและรายได้ต่อคนในแต่ละท้องที่ (ในอัตราผกผัน ท้องที่ไหนรายได้ตำ่ได้รับงบสูง) แล้วให้ท้องที่คิดโครงการเอง ดำเนินการโครงการเอง ควบคุมเอง จะได้โครงการที่ตรงตามต้องการ และมีโอกาสต้นทุนต่ำไร้รั่วไหล เป็นการกระจายทั้งอำนาจและทรัพยากร รวมทั้งฝึกให้ท้องถิ่นดูแลตนเอง ดีกว่างบปัจจุบันที่ ให้หน่วยราชการส่วนกลางเสนอโครงการ (แต่ผมก็ขอให้แค่ลดครึ่ง เพราะไม่งั้นท่านๆ คงไม่ยอมให้เกิด …หรือถ้าท่านกลัวว่าสี่แสนล้านยังไม่พอแบ่งกันงาบเลย ก็จัดเพิ่มอีกสองแสนตามระบบที่ผมว่า ก็ยังดี)

5. ในการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่เจ๊งยับอย่างการบินไทยนั้น สุดท้ายรัฐต้องใช้เงินแน่นอน (ขอประมาณว่าหนึ่งถึงสองแสนล้าน) รัฐไม่ควรต้องใช้เงินในงบประมาณ แต่น่าจะใช้เงินจากกองทุนวายุภักษ์ซึ่งรัฐถืออยู่ 99.7% โดยให้กองทุนวายุภักษ์จัดหาเงินจากตลาด โดยการขายรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือเกินจำเป็น (หรืออาจใช้ Bridge financeก่อนในระยะต้นก็ได้ และอาจปรับกองทุนวายุภักษ์มาเป็น Holding Companyของรัฐทำหน้าที่ดูแลให้รัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพไร้รั่วไหลเหมือนหลักการ Super Holding ที่เคยวางไว้ในร่างกฎหมายที่ถูกนักการเมืองบางคน และสภาคนดีย์ตีตกไปเพราะกลัวอำนาจนักการเมืองและข้าราชการจะลด (ทั้งหมดนี้เหมือน Singapore ช่วย SQ กว่าสองแสนล้าน โดยให้เป็นหน้าที่ของ Temasek ไม่ต้องรบกวนงบประมาณแผ่นดิน)

6. ควรจะใช้โอกาสนี้ ทดลองกันงบสักห้าร้อยล้าน มาแจกจ่ายให้ภาคประชาสังคม เสนอโครงการตรวจสอบติดตามงบพิเศษทั้งหมดกว่าสองล้านๆ ให้มีการใช้งานอย่างโปร่งใส ไร้รั่วไหล โดยใช้ฐานโครงการเดิมที่มีอยู่ เช่น ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) COST(Construction sector Transparency Initiative) ซึ่งงบที่ใช้แค่ 0.0025% ของงบพิเศษทั้งหมดนี้น่าจะลดต้นทุนได้กว่าสิบเปอร์เซนต์ กับจะได้ช่วยพัฒนาภาคประชาสังคมด้านนี้ไปด้วย

นี่เป็นข้อเสนอเบื้องต้นนะครับ ถ้าคิดอะไรออกอีกจะเสนอไปเรื่อยๆ นะครับ ถึงแม้จะเป็นแค่ประชาชนธรรมดา ไม่ร่ำรวยพอที่จะได้รับเชิญไปให้คำเสนอแนะ ไม่เก่งกาจพอที่จะได้รับเชิญไปร่วมให้คำปรึกษา แต่ก็ยังอยากแสดงความเห็นตามวิถี ไม่ยกประเทศนี้ให้ใครทั้งนั้น


ประชาชาติธุรกิจ นำเสนอซีรีส์ “รวมพลังสู้ โควิด-19” ภายใต้เนื้อหาที่มาจากประชาชน นักคิด นักเขียน ผู้รู้ นักธุรกิจ สตาร์ตอัพ ผู้ประกอบการทุกระดับ ที่นำเสนอแนวคิด ความรู้ และทางออกจากปัญหาไปด้วยกัน