“คดีน้องชมพู่” ยังระบุคนร้ายไม่ได้ ผบ.ตร. ชี้หลักฐานยังไม่เพียงพอ

ผบ.ตร. แถลงควาบคืบหน้า คดี “น้องชมพู่” ยังไม่ได้ตั้งข้อใคร เนื่องจากพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ มองไกลหากจับ ศาลต้องฟ้อง-ลงโทษได้ ฝากคนร้าย นอนเครียดต่อไป เพราะอายุความสอบสวนได้ถึง 20 ปี 

วันที่ 2 ตุลาคม 2563 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงความคืบหน้าคดีการเสียชีวิต ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ “น้องชมพู่” อายุ 3 ปี ที่หายออกจากบ้านพักที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ก่อนจะพบว่าเสียชีวิตบนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านพักประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 โดยระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ตั้งข้อหาใคร เนื่องจากยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับ หรือดำเนินคดีได้ แม้ได้พยายามรวบรวมมาแล้วกว่า 4 เดือน

ส่วนข้อสงสัยว่า การเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” มีคนพาขึ้นไปหรือเดินไปเองแล้วเสียชีวิตที่จุดเกิดเหตุ ผบ.ตร. เชื่อว่า น้องไม่ได้เดินขึ้นไปเอง อาจจะถูกใครกระทำด้วยวิธีการใดใด ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งบุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบตามที่เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาไว้

สำหรับความคืบหน้า 99 เปอร์เซ็นต์ และเหลืออีก 1 เปอร์เซ็นต์ เป็นพยานหลักฐานที่เป็นเส้นผมจากที่เกิดเหตุ พ.ต.อ.วาที อัศวุตมางกุร หัวหน้ากลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืน สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า จากเส้นผมที่พบ เป็นเส้นผมที่ไม่มีราก จึงสามารถระบุได้เพียงว่า เป็นดีเอ็นเอของญาติเพศหญิงทางฝั่งมารดา ซึ่งจากผลที่ออกมายังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครเป็นเจ้าของเส้นผม

เมื่อนักข่าวถามถึง มุมมองที่มีต่อ นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” ว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือมีพิรุธหรือไม่ “ผบ.ตร.” ย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่ตั้งข้อหาใคร

ส่วนกระแสที่ถูกมองว่า เมื่อจับคนร้ายได้จะเป็นการ “จับแพะ” หรือไม่ ผบ.ตร. ระบุว่า ไม่กังวล แต่ต้องการให้ประชาชนเชื่อมั่น โดยชี้ให้เห็นว่า หากจะจับคนร้ายได้ ต้องมั่นใจว่า สามารถส่งฟ้องศาลได้ และศาลสามารถลงโทษได้ พร้อมย้ำว่า ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้จับคนร้าย เพียงเพราะมีหลักฐานเพียงพอ แต่ต้องมองไปถึงการต่อสู้ในชั้นศาลด้วย

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ยังระบุว่า มีความหวังว่าจะสามารถจับคนร้ายได้ พร้อมฝากถึง ผู้กระทำความผิดในคดีนี้ว่า ให้นอนเครียดต่อไป พร้อมยืนยันว่าจะไม่เลิกสอบสวนอย่างแน่นอน เพราะอายุความอนุญาติให้ถึง 20 ปี