วันที่ 31 มีนาคม 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสวนาพิเศษ “ร่วมทางเดียวกัน จาก 30 บาทรักษาทุกโรคสู่ 30 บาทรักษาทุกที่” ในงานเปิดตัวหนังสือ “ระหว่างบรรทัด” หนังสือบันทึกประวัติศาสตร์บัตรทอง ณ อาคารบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน)
นายอนุทินกล่าวว่า โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายที่มีความสำคัญมาก เป็นการพลิกโฉมระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ตนเองเคยร่วมงานกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอนที่โครงการนี้ตั้งไข่ได้แล้ว และมีความเห็นว่า อย่ากังวลว่าโครงการนี้จะทำให้โรงพยาบาลล้มละลาย เพราะโรงพยาบาลเป็นของรัฐ รัฐมีหน้าที่ต้องดูแล
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
“คุณูปการของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค สำหรับผมคือ มันทำให้คำคำหนึ่งที่ผมเกลียดที่สุดหายไป คือการที่เห็นเพื่อนร่วมชาติถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้ป่วยอนาถา’ หรือ ‘คนไข้อนาถา’ เป็นคำที่แสบหัวใจเหลือเกิน พอมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้ประชาชนเกิดสิทธิ คือ รัฐต้องให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนทุกคน ทำให้ไม่มีคำว่าผู้ป่วยอนาถา”
นายอนุทินกล่าวอีกว่า ตนเคยเข้าไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในช่วงที่โครงการเดินหน้าแล้ว ซึ่งมีอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ แต่ไม่มีใครกล้ายกเลิก โครงการนี้ต้องเดินหน้า ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ปัญหา
“เรามีหน้าที่ต่อยอดและสังคมไทยต้องไม่ลืมคนให้กำเนิด ต้องไม่ลืมคนคิดโครงการดี ๆ อย่างนี้ แล้วทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป”
นายอนุทินกล่าวอีกว่า เมื่อได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในปี 2562 ความคิดแรกคือ คิดว่าจะทำให้ “30 บาทรักษาทุกโรค” ดีขึ้นได้อย่างไร จึงได้ติดต่อขอคำปรึกษาจากนายแพทย์สุรพงศ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
นายอนุทินกล่าวถึงพัฒนาการของบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค หรือระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ว่า ที่ผ่านมาบัตรทองยกระดับมาตลอด จากคำว่ารักษาทุกโรคซึ่งเดิมรักษาไม่ได้ทุกโรคจริง พัฒนายกระดับจนสามารถรักษาได้ทุกโรคจริง ๆ รวมไปถึงโรคหายาก (Rare disease) และได้ยกระดับเป็น “รักษาทุกที่” เพื่อความสะดวกของประชาชนให้รักษาทุกที่ได้อย่างสะดวกจริง ๆ จากเดิมที่ก่อนหน้านี้สามารถรักษาทุกที่ได้กรณีป่วยฉุกเฉิน และรักษาได้เพียง 3 วัน หลังจาก 3 วันต้องทำเรื่องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่ใช้สิทธิ ซึ่งมีปัญหามากมาย และเป็นความไม่สะดวกสำหรับประชาชน
การนำร่อง “30 บาทรักษาทุกที่” ในช่วงที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างดี ซึ่งตอนนี้ได้พัฒนาต่อยอดไปไกลถึงการรักษาโรคมะเร็งได้ทุกที่ ในปีนี้ได้เพิ่มเครื่องฉายรังสีโรคมะเร็งอีก 7 เครื่อง ทำให้ศูนย์มะเร็งทั่วประเทศสามารถรักษาคนไข้ได้มากขึ้น นี่คือสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขพยายามให้ให้ประชาชนสะดวกมากที่สุด ลดความแออัดในโรงพยาบาล และลดความถี่ในการที่คนไข้จะต้องพบแพทย์
“ตอนนี้การให้บริการครอบคลุมครบหมดแล้ว เหลือแต่จะทำอย่างไรให้มีสถานพยาบาลมากขึ้น และบริการได้ดีขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น อย่างเรื่องที่จอดรถ เป็นสิ่งที่โรงพยาบาลยังขาด เราต้องอำนวยความสะดวกให้ประชาชนอย่างครบวงจร”
นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแสดงความเห็นอีกว่า เรื่องที่ประเทศไทยขาดแคลนแพทย์ ควรแก้ปัญหาโดยการจ้างแพทย์ที่เกษียณอายุที่มีประสบการณ์สูงมาช่วยงานในโรงพยาบาล ทั้งรักษาคนไข้ ให้คำปรึกษาแก่แพทย์อินเทิร์นและแพทย์ที่ยังมีประสบการณ์น้อย ไปจนถึงเป็นที่ปรึกษาหน่วยงานต่าง ๆ ในกระทรวงฯ