รองโฆษก ยันตร.ท่องเที่ยวตรวจสอบปมกล่าวหารีดส่วยภูเก็ต งัด พ.ร.บ.คอมฯขู่ หากทำเสื่อมเสีย

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณี นายธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิศรี หรือ โจ้ สปอตไลท์ ภูเก็ต ผู้ก่อตั้งเพจชื่อดัง Spotlight Phuket ยื่นหนังสือร้องเรียน กรณีตำรวจท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต พัวพันกับเรื่องส่วยและรีดไถประชาชน โดยอ้างว่า มีตัวเลขรายการรับส่วยและรีดไถ เฉพาะพื้นที่ อ.ป่าตอง ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อเดือน เป็นเงินที่มาจากการกดขี่ ข่มเหงกลุ่มแรงงานต่างด้าว การใช้ช่องว่างทางกฎหมายกับกลุ่มสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และกลุ่มสถานบันเทิง พร้อมยังได้ท้าทาย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจท่องเที่ยว นั้นได้รับรายงานจาก กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ว่าได้สั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในเรื่องดังกล่าว และพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

“ขอเรียนยืนยันว่าที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการดำเนินการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างต่อเนื่อง จริงจัง ตลอดมา โดยมิได้เลือกปฏิบัติแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพิ่มขึ้นทุกปีสร้างรายได้ให้ประเทศเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันอาชญากรรมและการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัว รัฐบาลจึงได้จัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนอกเหนือไปจากหน่วยงานตำรวจในพื้นที่ ซึ่งในปัจจุบันก็คือ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว โดยมีดำเนินการดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง” รองโฆษกตร.แจง

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวอีกว่า ในประเด็นที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดีย นั้น อาจเกิดจากมีกลุ่มบางกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ จากการดำเนินการจับกุมปราบปราบทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยินดีที่จะรับฟังข้อมูลหรือเบาะแสที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนต่อไป ฝากเตือนไปยังผู้ไม่ประสงค์ดี ที่หวังสร้างความเสื่อมเสียต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราจะดำเนินการนำผู้ที่กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ 2550 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560 และขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ให้ระมัดระวังการแชร์ข้อมูล ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยหากมีข้อมูลการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็สามารถนำมาให้สำนักงานจเรตำรวจ เพื่อดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินการอยู่แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับผู้ร้องเรียนและผู้ถูกร้องเรียน ทั้ง 2 ฝ่าย

 

 

 

ที่มา : มติชนออนไลน์