สัมภาษณ์พิเศษ
ปัจจัยชี้ขาดในการเดินหน้าเศรษฐกิจไทยให้กลับไปสู่แดนบวกหลังโควิดระบาดระลอก 3 คือ การเคลื่อนธุรกิจ-การค้าให้คืนสู่ภาวะปกติอย่างเร็วที่สุด
หอการค้าไทยภายใต้นโยบาย Connect the dots ฟื้นเศรษฐกิจไทยใน 99 วัน ขับเคลื่อนทุกองคาพยพร่วมกับสมาชิกสภาหอการค้าฯ สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมฯ ผนึกกับรัฐบาล เปลี่ยนผ่านพลิกวิกฤตสู่โอกาสใหม่
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ญนน์ โภคทรัพย์” ในฐานะประธานกลุ่มการค้าและบริการ หอการค้าไทย ภายหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ถึงวิสัยทัศน์บทบาทใหม่ในสถานการณ์โรคระบาด และอีกบทบาทหนึ่งคือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ค้าปลีกรายใหญ่ในเครือเซ็นทรัล ที่กำลังสร้างการเติบโตได้เป็นอย่างดีทั้งในไทยและต่างประเทศ
“ญนน์” ฉายภาพผลกระทบจากการระบาดของโควิด ระลอก 3 ในประเทศครั้งนี้ว่า “ทำให้เศรษฐกิจถอยหลังไปอีกหลายก้าว หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายใน 3 เดือน GDP ของไทยจะเติบโตลดลงจากเดิมคาดไว้ที่ 4% เหลือ 2-2.5% ส่งผลให้เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจหายไป 3-4 แสนล้านบาท และจะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 5 แสนคน ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปีที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมาเป็นปกติ และจะฟื้นตัวแบบ K-Shaped Recovery”
แต่ในทางกลับกันหากการระบาดระลอกนี้ไม่สามารถควบคุมได้ใน 3 เดือนนับจากนี้ มูลค่าเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจจะเสียหายมากไปกว่านี้ และฉุด GDP ประเทศให้ทรุดตามลงไปด้วย ซึ่งหากคิดเพียงแค่กลุ่มส่วนของการค้า และส่วนของบริการ ที่ประกอบไปด้วยธุรกิจหลัก 4 ส่วน คือ ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง, ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, ธุรกิจศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม
ส่วนของการบริการมี 3 ส่วน คือ โลจิสติกส์, เพย์เมนต์, และการบริการต่าง ๆ โดยมีจำนวน SMEs อยู่ถึง 2.4 ล้านราย คิดเป็น 80% ของ SMEs ทั้งประเทศ (ภาคการค้า 43% ภาคบริการ 37%) มีการจ้างงานมากที่สุดกว่า 12 ล้านคน คิดเป็น 70% ของแรงงานทั้งประเทศ ก็มีมูลค่ามากถึง 5.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 34% ของ GDP การบริโภคทั้งประเทศแล้ว
รัฐ-เอกชน รวมพลังฟื้น ศก.
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการฟื้นเศรษฐกิจร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน ภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีมาตรการใน 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ต้องควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดให้ลดลงและเร็วที่สุด โดยเป็นการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เมื่อการระบาดลดลงต้องทำให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ปลอดภัย ปลอดโควิด เพราะฉะนั้น การจัดหาวัคซีนโดยภาครัฐกับเอกชนควรทำงานร่วมกันในการนำเข้าวัคซีนให้เพียงพอ และการกระจายวัคซีนให้เร็วที่สุดจึงเป็นคำตอบ ต้องควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดขึ้นอีก เศรษฐกิจไทยบอบช้ำมามากแล้วไม่สามารถรองรับการระบาดครั้งที่ 4 ได้อีกต่อไป
นอกจากนี้ ควรจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะกลุ่ม ส่วนภาคเอกชนและคนที่มีกำลังซื้อต้องร่วมกันกระตุ้นการจับจ่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับ SMEs ไทยพร้อมสร้างงานเพื่อให้คนที่ต้องการทำงานมีงานทำ และลดอัตราการว่างงาน พร้อมสนับสนุนให้มีการลงทุนด้านเทคโนโลยี และการพัฒนานวัตกรรม เพื่อสร้างธุรกิจที่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
โดยธุรกิจที่เป็นดาวรุ่งที่ยังมีโอกาสทางการเติบโตนับจากนี้ คือ ธุรกิจด้านสุขภาพ, ธุรกิจด้านเทคโนโลยี, กลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่เป็นแบบออมนิแชนเนล, ธุรกิจออนไลน์แพลตฟอร์ม และธุรกิจดีลิเวอรี่
ขณะที่ฟากของกลุ่มธุรกิจที่เน้นการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก อย่างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการและการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจสายการบิน และโรงแรม มองว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากต้องพึ่งพารายได้จากการเดินทางของผู้คน ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถกลับมาเที่ยวประเทศไทยได้เหมือนเดิม ซึ่งสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 10% ของ GDP โดยเฉพาะภูเก็ตจังหวัดเดียว คิดเป็น 9% ของ GDP
ดังนั้น ถ้าหากการฉีดวัคซีนล่าช้า นักท่องเที่ยวจะไม่กลับมา เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ช้า คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าไทยในปีนี้ เหลือเพียง 1 ล้านคน และอาจต้องใช้เวลา 4-5 ปีกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาที่ระดับก่อนโควิด
โควิด ดิสรัปต์ธุรกิจ
ในฐานะประธานกลุ่มการค้าและบริการ หอการค้าไทย “ญนน์” สะท้อนภาพรวมธุรกิจประเทศไทยภายหลังการระบาดของโควิดผ่านพ้นไปว่า ธุรกิจอาจจะยังไม่กลับมาเหมือนก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวเร่ง (customer disruption) รวมทั้งยังมีคู่แข่งที่นำเสนอสินค้าและบริการที่ดีกว่า และน่าตื่นเต้นกว่า ทำให้องค์กรต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัว มีความยืดหยุ่น และความคล่องตัว เพื่อที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อช่วยบริหารต้นทุนให้ต่ำลง และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมทั้งรักษากระแสเงินสดเพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ (cash rules everything) สร้างพันธมิตรและความร่วมมือจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันได้ไกลกว่า
“ท้ายที่สุด ไม่ว่ามาตรการจากกลุ่มผู้ประกอบการแต่ละธุรกิจจะออกมาพลิกฟื้นเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด แต่การฟื้นภาพรวมประเทศนับจากนี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่การฉีควัคซีนให้แก่ประชาชน ซึ่งสถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดรอบนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะพุ่งขึ้นสูงสุดต่อวันเมื่อไร และคลี่คลายได้ช่วงใด หรือจะอยู่กับเราไปอีกนานแค่ไหน”
การระบาดรอบ 3 นี้สร้างปัญหาซ้ำเติมให้กับเศรษฐกิจไทยที่บอบช้ำอยู่แล้ว และต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่จะพลิกฟื้น อีกทั้งภาคธุรกิจต่าง ๆ จะฟื้นตัวสะดุดและไม่เท่ากัน “หัวใจสำคัญที่จะเยียวยาวิกฤตครั้งนี้ได้ คือ การจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ และการเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งกลุ่มพนักงานในภาคธุรกิจที่ต้องติดต่อกับคนจำนวนมาก เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว สายการบิน ธุรกิจค้าขาย และคนขับรถขนส่งสาธารณะ”
“เราจำเป็นจะต้องหยุดยั้งการแพร่ระบาดระลอก 3 ในครั้งนี้ให้สำเร็จและรวดเร็ว โดยต้องเร่งการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศ พร้อมทั้งสร้างความแข็งแกร่งให้กับ SMEs และกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ”
ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการชี้ชะตาสุขภาพอนามัยของประชาชน คน และเศรษฐกิจไทยโดยรวมว่าจะกลับฟื้นมาได้อีกครั้งหรือไม่ และจะรวดเร็วเพียงใด