‘หมอยอร์น’ สาธารณสุขนิเทศก์เข้าเยี่ยมอาการ รปภ. เจ้าตัวรับชนจริง-ไม่คิดหนี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีการแชร์กันในสังคมออนไลน์กรณีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย(รปภ.)ในกระทรวงสาธารณสุข ถูกแพทย์ ซึ่งเป็นผู้บริหารในกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ขับรถชนอาการสาหัส  โดยมีการแชร์กันในลักษณะตำหนินายแพทย์ท่านนี้ ว่ามีอาการเมาแล้วขับชนรปภ.บริเวณประตูบำราษฎร์ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เวลา 20.10 น. ขณะรปภ.กำลังปิดประตู แพทย์ดังกล่าวจึงขับรถชนรปภ.และประตู จนประตูพังแล้วเปิดออก  โดยระบุว่าการชนครั้งนี้นายแพทย์ดังกล่าวไม่ลงมาดู และหลายคนตั้งคำถามว่า แพทย์ดังกล่าวมึนเมาร่วมด้วยหรือไม่นั้น

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน  พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เดินทางมายังโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า พร้อมด้วย นพ.ยอร์น จิระนคร สาธารณสุขนิเทศก์เขต 12  กระทรวงสาธารณสุข   ซึ่งเป็นคู่กรณีขับรถชนนายสมชาย ยามดี (นายนัท) อายุ 22 ปี  เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกระทรวงสาธารณสุข  เพื่อเข้าเยี่ยมอาการเจ้าหน้าที่ รปภ. ซึ่งขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ หออภิบาลระบบทางเดินหายใจศัลยกรรม ชั้น 15   โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า

โดยพญ.พรรณพิมล  ให้สัมภาษณ์ว่า    สธ.ไม่ได้นิ่งนอนใจได้รับแจ้งเหตุตั้งแต่วันที่เกิดเหตุแล้ว เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุยังต้องรอผลการดำเนินคดีตามกฎหมายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนเนื่องจากต้องเอาผลทางคดีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาประกอบการพิจารณาด้วย

นพ.ยอร์น  กล่าวว่า  ตนยอมรับในสิ่งที่กระทำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตนไม่ได้ตั้งใจ โดยเหตุการณ์ขณะชนนั้น ได้ให้ข้อมูลกับทางตำรวจแล้ว และยืนยันว่าในเรื่องการบาดเจ็บของผู้ป่วย ตนจะรับผิดชอบเต็มที่ และเรื่องนี้เป็นเหตุส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม ตนเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขออภัยกับทางครอบครัว ซึ่งตนก็ยินยอมสู้กับข้อเท็จจริง และได้ให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ส่วนเรื่องใดที่เป็นส่วนของคดีก็ขอให้เป็นเรื่องของคดีต่อไป แต่ขอยืนยันว่า ตนไม่เคยหนีเลย ตนจอดรถมาดู ซึ่งพออธิบายก็จะเป็นเรื่องแก้ตัว แต่ประตูกระทรวงบริเวณดังกล่าวก็ปิดประมาณ 2 ทุ่ม บางทีก็ปิดบางทีก็ไม่ปิด และบริเวณนั้นก็มืด ตนมองไม่เห็นจริงๆ และรถคันหน้าตนเข้าไปก่อน และเมื่อเกิดเหตุตนก็ได้หยุดแล้ว ซึ่งขับรถไม่ได้รวดเร็วจริงๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทราบหรือไม่ว่าขับรถชนคนและมีคนเข้าไปอยู่ใต้รถ  นพ.ยอร์น กล่าวว่า ตนคิดว่าขับรถชนประตู ไม่ทราบว่าชนคน จนกระทั่งมีคนตะโกนบอก หลังจากนั้นจึงหยุดรถและให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ ให้รถฉุกเฉินมาช่วย แต่ตนไม่ได้เข้าปฐมพยาบาลด้วยตัวเองมาก เพราะสิ่งที่คิดว่าอยากให้ทำเร็วที่สุดคือ นำผู้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล

นพ.ยอร์น กล่าวว่า ส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดเกิดอุบัติเหตุ ขอให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ยืนยันว่า ณ จุดนั้นมืดจริง จะบอกว่าชนประตู ชนคน ซึ่งตนไม่เห็นทั้งประตูทั้งคน ถ้าเห็นคงไม่ชน และหลังจากเกิดเหตุตนไม่ได้ตามผู้เสียหายไปที่โรงพยาบาล เนื่องจากต้องไปให้การที่สถานีตำรวจ

“ข้อเท็จจริงผมก็ให้ได้เท่าที่เป็นข้อเท็จจริง ส่วนเรื่องของคดีและในรายละเอียดก็ต้องเป็นเรื่องของตำรวจ ส่วนที่ว่าชนแล้วทำไมรถยังเคลื่อนต่อไปข้างหน้านั้น ผมตอบไม่ได้จริงๆ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การชนแล้วหนี หนีไม่ได้อยู่แล้ว ที่วันเกิดเหตุขับรถเข้ามาบริเวณดังกล่าวช่วงเวลาค่ำ เพราะต้องการทะลุผ่านไปออกซอยอัคนี ซึ่งเป็นอีกด้านของกระทรวงสาธารณสุข และเส้นทางนี้ไม่ได้เป็นเส้นทางประจำในการขับรถ” นพ.ยอร์น กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าประตูมีน้ำหนักพอสมควร เมื่อชนแล้วทำไมจึงไม่จอดรถ นพ.ยอร์น คิดอยู่ระยะหนึ่งและทวนคำถามว่า ทำไมถึงไม่จอดรถ ก่อนตอบว่า ตนไม่ได้เร่งเครื่องอะไร ยืนยันว่าไม่ใช่จะหลบหนี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะขับรถได้ดื่มเครื่องอื่มแอลกอฮอล์มาก่อนหรือไม่  นพ.ยอร์น กล่าวว่า ตนได้ให้ข้อมูลกับทางตำรวจแล้ว ซึ่งเรื่องในส่วนที่เป็นคดีขออนุญาตให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นพ.สกล สุขพรหม

นพ.สกล สุขพรหม รองผู้อำนวยการรพ.พระนั่งเกล้าในฐานะศัลยแพทย์ระบบประสาทเจ้าของไข้รปภ.ถูกรถชน กล่าวว่า ผู้ป่วยถูกนำส่งรพ.เวลา 20.00 น.ของวันที่10 พฤศจิกายน จากการประเมินอาการพบเลือดออกบางๆ มีภาวะสมองบวมเล็กน้อยจึงได้ใส่ท่อช่วยหายใจและรักษาตามอาการต่อมาจากการติดตามอาการเป็นระยะผู้ป่วยอาการทรุดลงในเวลา 21.00น.ของวันที่ 11 พฤศจิกายน จึงทำการเอ๊กซเรย์พบว่ามีภาวะสมองบวมและเลือดออกมากขึ้นจึงได้ผ่าตัดเปิดกระโหลกเพื่อเอาเลือดที่คลั่งออก ขณะนี้ผู้ป่วยยังไม่พ้นวิกฤตต้องใส่ท่อช่วยหายใจและติดตามอาการเป็นระยะ ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะสามารถย้ายออกจากห้องไอซียูได้ ส่วนบาดแผลอื่นๆพบว่ามีปัญหากระดูกบริเวณใบหน้าต้องรอดูการตอบสนองอื่นๆก่อนจึงจะทำการรักษาได้ ส่วนบริเวณอื่นของร่างกายไม่ทีอะไรน่เป็นห่วงมีเพียงบาดแผลถลอกตามร่างกาย

ด้าน พญ.พรรณพิมล กล่าวเพิ่มเติมว่า  เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เรื่องขอความผิดในระบบราชการ จะมีหรือไม่ ต้องรอให้ผลทางคดีสิ้นสุด ทั้งนี้ เตรียมปรับเพิ่มไฟส่องสว่างบริเวณประตูทางเข้าออกของกระทรวงสาธารณสุขให้มาก เพื่อลดอุบัติเหตุ

ที่มา มติชนออนไลน์