กลุ่มหมอไม่ทน ชวนจับตา ไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส จากสหรัฐฯ จะถูกจัดสรรมาถึงกลุ่มเป้าหมายหมอด่านหน้าหรือไม่?
วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (22 ก.ค.) กลุ่ม หมอไม่ทน ได้สร้างแคมเปญบน change.org พร้อมระบุว่า จะมีการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส ที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ โดยศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาด โควิด-19
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
วางแผนว่าจะเตรียมให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าเป็นบูสเตอร์โดส 1 เข็ม ผู้สูงอายุและผู้มีโรคเรื้อรัง 7 โรค, ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง และผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีด ไฟเซอร์ ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา
ขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์หลายแห่ง ถูกบังคับ หรือถูกโน้มน้าวว่าจะไม่มีวัคซีนดังกล่าวเข้ามา รวมถึงหลายที่ออกนโยบายให้บุคลากรต้องรับวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 เป็น แอสตร้าเซนเนก้า ทาง ‘หมอไม่ทน’ จึงขอตั้งข้อสังเกตต่อความรีบร้อนในการฉีด แอสตร้าเซนเนก้า ให้บุคลากรเป็นการเร่งด่วน
ซึ่งอาจจะพอพูดได้ว่าเพื่อป้องกันการติดเชื้อในบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งได้รับ ซิโนแวค สองเข็มแล้ว แต่ยังมีการติดเชื้ออยู่ สร้างความกดดัน เพิ่มภาระการทำงานเมื่อผู้ร่วมงานติดเชื้อ และทำให้ไม่ไว้วางใจในการทำงานของรัฐบาล จากการตัดสินใจวางแผนวัคซีนที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก
‘หมอไม่ทน’ จึงขอเชิญชวนประชาชน เฝ้าจับตาการมาถึงของไฟเซอร์ ในอีก 7 วันต่อจากนี้ เพื่อให้วัคซีนไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับตามความเสี่ยงและความจำเป็น ไม่ให้มีการบิดเบี้ยวของแผนไปให้หน่วยงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการคอรัปชั่นที่ยากจะรับได้
บุคลากรทางการแพทย์ควรได้ฉีดบูสเตอร์โดส ด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสามารถดูแลประชาชนได้เต็มที่ และกลุ่มเสี่ยงเช่นผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง ควรได้รับวัคซีน ไฟเซอร์ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อและอาการรุนแรงมากกว่าวัคซีนที่มีการศึกษาแล้วว่ามีประสิทธิภาพน้อยกว่า
‘หมอไม่ทนยัง’ ยืนยันการเรียกร้อง mRNA vaccine เป็นวัคซีนหลักให้คนไทยทุกคน ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีน คือการลดโอกาสการมีชีวิตรอดของประชาชน
#เก็บไฟเซอร์ไว้ให้ใคร บนทวิตเตอร์
หลังจากแคมเปญดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ชาวทวิตเตอร์ได้ตั้งขอสันนิษฐานต่าง ๆ ถึงเหตุผลที่บุคลากรทางการแพทย์ถูกเร่งให้ฉีดวัคซีนยี่ห้อ แอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนบูสเตอร์เข็ม 3 แทนที่จะได้ยี่ห้อ ไฟเซอร์ ในอีก 7 วันนี้
สธ.แจงปมหมอด่านหน้าได้ฉีดแอสตร้าฯ
วันนี้ (23 ก.ค.) นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค ชี้แจงคำถามที่ว่า บุคลากรทางการแพทย์จะได้ฉีดไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 3 หรือไม่ นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าส่วนมากได้รับวัคซีนยี่ห้อซิโนแวค 2 เข็ม เกิน 3 เดือนแล้ว ทำให้ต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นอีกครั้ง โดยต้องไม่ใช่แพลตฟอร์มเดียวกัน ซึ่งแอสตร้าเซนเนก้าเป็นแพลตฟอร์มไวรัสเวคเตอร์ จึงทำการฉีดกระตุ้นให้บุคลากรทางการแพทย์ไปก่อน เนื่องจากการติดเชื้อในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ยังสูง จึงรอเวลาไม่ได้
แต่ยืนยันว่าหากวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส เข้ามาเมื่อไร จะใช้วัคซีนทั้ง 2 ชนิดควบคู่กันไป ส่วนแผนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เนื่องจากเป็นวัคซีนบริจาค ต้องดูว่าจะนำมาสนับสนุนในส่วนไหน แต่ข้อเสนอให้เบื้องต้นที่ยื่นให้แก่ ศบค. เพื่ออนุมัติมี 3 กลุ่มหลัก 1.กลุ่มสาธารณสุขด่านหน้าที่มีโอกาสติดเชื้อสูงจริง ๆ 2.กลุ่มสูงวัย และ 3.กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง กลุ่มพื้นที่ระบาดหนักที่ต้องระดมฉีดวัคซีนก่อน พร้อมยืนยันว่าไฟเซอร์จะเข้ามาสนับสนุนแผนงานตามปกติ ไม่มีกลุ่มไหนหรือใครได้เป็นพิเศษ
สหรัฐฯ บริจาค ไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสให้ไทย
วันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กเพจ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความระบุว่า สหรัฐอเมริกาจะบริจาควัคซีนโควิด-19 ของ ไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส มูลค่า 30 ล้านเหรียญ ให้กับไทย ซึ่งจะเข้าปลายเดือน ก.ค. นี้ และเริ่มเดินหน้าฉีดเดือน ส.ค. โดยจะฉีดให้กับ 4 กลุ่มเป้าหมายหลัก ดังนี้
1.บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยโควิดอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะฉีดในลักษณะบูสเตอร์โดสเข็มที่ 3 2.กลุ่มผู้สูงอายุ 3.กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง และ 4.ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น อายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นต้น