รองโฆษกอัยการชี้คดีครูจอมทรัพย์ไม่ใช่เเพะ เข้าข่ายเบิกความเท็จผิดอาญา คุกไม่เกิน 5 ปี

เเฟ้มภาพ

นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ยกคำร้องการขอรื้อฟื้นคดีอาญาในคดีนางจอมทรัพย์ว่า เรื่องนี้สังคมได้เรียนรู้หลายอย่างจากคดีนี้ถึงการทำงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เเละข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่รวมทั้งผลที่จะตามมา หากเป็นกรณีผู้ที่เกี่ยวข้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตหรือที่เรียกว่ามาศาลมือไม่สะอาดด้วย ในเรื่องนี้ข้อเเรกจะเห็นได้ว่าเมื่อศาลฎีกาได้ยกคำร้องของนางจอมทรัพย์ ย่อมเป็นการยืนยันว่าคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่พิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา3ปี2เดือนในข้อหาขับรถโดยประมาทชนผู้อื่นตายเเละหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือหรือเเจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ทันที ซึ่งนางจอมทรัพย์ได้รับโทษออกมาเเล้วเป็นคำพิพากษาที่ถูกต้องทุกประการหรือสรุปสั้นๆคือ นางจอมทรัพย์ไม่ใช่ “เเพะ” ตามที่เป็นข่าวหากเเต่เป็นบุคคลที่กระทำผิดอาญาตามที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก ที่สำคัญที่สุดคือกว่าที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาลงโทษนางจอมทรัพย์ การทำงานของหน่วยงานยุติธรรมหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด เเละศาลยุติธรรม ย่อมเเสดงให้เห็นว่าต่างก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เเล้ว ยิ่งโดยเฉพาะคดีนี้มีการพิจารณาถึงสามชั้นศาล นับว่ามีการพิเคราะห์ข้อเท็จจริงเเละข้อกฎหมายอย่างเต็มที่เเล้ว

“ประเด็นที่สังคมหรือประชาชนอาจสงสัยก็คือ เเล้วอย่างไรถึงจะรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ในข้อนี้ขอชี้เเจงเบื้องต้นว่าสาเหตุที่มีการตรา พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 นั้นก็เนื่องมาจากมีความเชื่อว่าการตัดสินคดีอาญาของศาลอาจเกิดข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ โดยเฉพาะขณะที่ตัดสินไม่มีพยานหรือข้อเท็จจริงปรากฎในชั้นพิจารณาของศาล ซึ่งหลักกฎหมายนี้ให้โอกาสคนที่ถูกลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลมีสิทธิขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ ถ้าผู้ที่ต้องคำพิพากษาไม่ได้กระทำผิดหรือเขาเป็นเเพะ เรื่องนี้มีการวางหลักไว้ใน มาตรา5ของ พ.ร.บ.รื้อคดีอาญาฯที่มีสาระสำคัญคือ 1.พยานหลักฐานใหม่อันชัดเเจ้งเเละสำคัญเเก่คดี ซึ่งถ้าได้มานำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดไปนั้นจะเเสดงได้ว่าผู้ที่ถูกลงโทษไม่ได้กระทำผิด หรือ2.มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าบุคคลที่มาเบิกความจนศาลรับฟังไปลงโทษนั้นเบิกความเท็จ เเละ3.มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าพยานเอกสารที่ศาลฟังลงโทษนั้นเป็นเอกสารปลอม กรณีถ้ามีข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวศาลจะให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ เเละจะพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาเดิมที่ลงโทษเเละมีคำพิพากษาใหม่ โดยยกฟ้องคดีเดิมเพื่อยืนยันว่าผู้ร้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เเละคืนสิทธิต่างๆตามกฎหมายให้ด้วย”นายประยุทธกล่าว

นายประยุทธกล่าวต่อว่า สำหรับคดีนางจอมทรัพย์ที่ได้ยื่นคำร้องคดีนี้โดยอ้างเหตุว่าเขาไม่ได้ขับรถชนโดยมีนายสับวาปีไปจ่ายค่าเสียหายทางเเพ่งให้ญาติผู้ตาย เเต่เมื่อตำรวจลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีพยานหลักฐานบ่งชี้ยืนยันว่าเป็นขบวนการว่าจ้าง จนเป็นที่มาของการนำสืบเเสดงให้ศาลเห็นจนยกคำร้องในคดีนี้

“ตรงนี้จึงต้องขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจเเละพนักงานอัยการจังหวัดนครพนมที่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่เข้าไปคัดค้านคำร้องของครูจอมทรัพย์จนศาลฎีกายกคำร้อง ซึ่งมีคำวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาหน้าที่39เเละ40ได้ชัดเเจ้งว่า เรื่องนี้มีขบวนการว่าจ้างให้มีการสมอ้างเป็นคนขับรถคันดังกล่าวเเละได้ยกคำร้องของนางจอมทรัพย์” นายประยุทธ กล่าวและว่า ในเมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้คำพิพากษาว่ามีขบวนการว่าจ้างให้นายสับมาสมอ้างว่าเป็นคนขับรถชนผู้ตายเเล้วต่อไปจะได้รับผลตามกฎหมายอย่างไรบ้างนั้น ประเด็นนี้เรียนว่าโดยหลักเเล้วการฟ้องคดีหรือการเบิกความต่อศาลจะต้องกระทำโดยสุจริต หรือมาศาลมือสะอาด ดังนั้นหากไม่สุจริตหรือเอาความเท็จในข้อสำคัญทางคดีมาเบิกความต่อศาลก็เข้าข่ายมีความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177ได้ ซึ่งความผิดฐานเบิกความเท็จมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นคนเบิกความหรือคนที่ได้จ้างวานก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน เเต่การดำเนินการต่อไปอย่างไรในเรื่องนี้ตนจะไม่ขอก้าวล่วงเนื่องจากเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่ต้องดำเนินการต่อไป

ล่าสุดผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ได้แจ้งว่าตอนนี้ต้องของดสัมภาษณ์สื่อ เนื่องจากต้องการพักผ่อนและขอทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราแพ้แล้ว ขอบคุณน้องๆ ผู้สื่อข่าวทุกสำนัก และนางจอมทรัพย์ ไม่ได้ชี้แจงว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อหากตำรวจนครพนมเตรียมเอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องขบวนการรับผิด

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์