วันที่ 19 พ.ย. ที่ชุมชนชาวเลบ้านทับตะวัน อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จัดงานวันรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเลครั้งที่ 8 โดยมีชาวมอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ยจากจ.สตูล กระบี่ ภูเก็ต พังงาและระนอง ราว 500 คน รวมทั้งชาวบ้าน นักวิชาการและผู้ที่สนใจมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
น.ส.อรวรรณ หาญทะเล ตัวแทนชาวเล กล่าวรายงานถึงสถานการณ์ชาวเลว่า ปัจจุบันมีชุมชนชาวเลที่ยังไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย 40 แห่ง โดย 36 แห่ง คือ ชุมชนในที่ดินรัฐ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีการขับไล่ แต่ยังไม่มีหลักประกันว่าเราจะอยู่ได้มั่นคงชั่วลูกหลาน ที่ดินที่มีเอกชนอ้างสิทธิ์เหนือชุมชนชาวเล 5 แห่ง มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวเลกว่า 127 คดี และมีแนวโน้มจะมากขึ้น
พวกเรามีสุสาน พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับทำพิธีกรรม รวม 23 แห่ง ไม่มีเอกสารขึ้นทะเบียน 20 แห่ง มีเอกสารแล้ว 3 แห่ง มีที่ถูกรุกล้ำด้วยวิธีการต่างๆ 13 แห่ง บางแห่งมีการออกเอกสารสิทธิ์ทับสุสาน บางแห่งมีการห้ามเข้าไปฝังศพ บางแห่งมีคนมาบุกรุก เช่น สุสานแหลมทุ่งยุง สุสานบอแน ที่เกาะลันตา สุสานที่เกาะพีพี สุสานทุ่งหว้า สุสานเกาะเปลว จ.พังงา สุสานที่หลีเป๊ะ จ.สตูล สุสานที่เกาะสิเหร่ จ.ภูเก็ต เป็นต้น
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- กองทุนประกันวินาศภัยถังแตก แจ้งชะลอจ่ายคืนหนี้ตั้งแต่ มี.ค.2567
- เรือชนสะพานถล่มในสหรัฐ กระทบเศรษฐกิจ การขนส่งสินค้าเป็นอัมพาต
ผู้แทนชาวเล กล่าวต่อว่า นอกจากสุสานแล้ว ชาวเลยังมีปัญหาอื่นๆ ที่ตามมาอีกมากมาย เช่น การทำมาหากินในทะเลแต่เดิมชาวบ้านหากินได้ แต่หลังมีการประกาศเขตอุทยาน ประกาศเขตอนุรักษ์สัตว์น้ำ รวมทั้งนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้พวกตนหากินยากลำบากขึ้น ต้องออกทะเลไกล ต้องดำน้ำลึกขึ้น มีหลายคนต้องพิการเป็นอัมพฤกษ์เพราะน้ำหนีบ ซึ่งในปัจจุบันมีความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ปัญหาของ “อนุกรรมการชุดพื้นที่ทำกินทางทะเลของชาวเล” ที่มีมติร่วมกันในเรื่องการผ่อนปรนการทำมาหากินทางทะเลของชาวเล ในส่วนของชาวเลที่ไม่มีบัตรประชาชน ประมาณ 550 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่จ.ระนองประมาณ 320 คน และเกาะสุรินทร์ จ.พังงา ประมาณ 211 คน ทำให้ไม่ได้รับสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน ทั้งการไปหาหมอ การหางานทำ การเดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบาก
“ขอเรียกร้อง ให้หน่วยงาน องค์กร บุคคลที่เกี่ยวข้อง ยุติการละเมิดสิทธิของชุมชนชาวเล ยุติการคุกคามข่มขู่ชาวเล สนับสนุนการแก้ปัญหาและพัฒนาพวกเราอย่างจริงจังต่อเนื่อง ให้เกิดผลจริงๆ และพวกเราชาวเล จะพยายามหาแนวทางพัฒนาและแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วมกับทุกๆองค์กร ดังรูปธรรมการสนับสนุนการลงนามความร่วมมือในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนชาวเล เพื่อให้เกิดเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรมชุมชนชาวเล จ.พังงา ในงานรวมญาติชาวเลครั้งนี้”น.ส.อรวรรณ กล่าว
โดยหลังเปิดงาน ผู้แทนชาวเลจากพื้นที่ต่างๆร่วมกันยื่นหนังสือกับผู้แทนภาครัฐ โดยในหนังสือมีข้อเรียกร้องประกอบด้วย 1.ให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการนโยบายเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตและแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธ์ชาวเล ตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2553 2.เร่งรัดแก้ปัญหาที่ดินชุมชนชาวเล ตามข้อเสนอของคณะกรรมการแก้ปัญหาที่ดิน ที่ทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณชุมชนชาวเล ซึ่งมีพล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง เป็นประธาน
3.เสนอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯมีการทำแผนแม่บทการพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์ 5 ปี (2561-2565 ) และจัดตั้งกองกิจการชาติพันธุ์ขึ้นมาใหม่ 4.ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศ เสนอกฎหมายเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรม 5.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กันแนวเขตที่ดินที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน และเขตหากินในทะเล ออกจากการประกาศเขตอนุรักษ์ทับพื้นที่ทซึ่งบรรพบุรุษของชาวเลได้อยู่อาศัย และทำกินมาก่อน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของหลายฝ่าย 6.ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดำเนินนโยบายการท่องเที่ยว โดยคำนึงถึงผลกระทบ ต่อชุมชนชาวเล และ 7.ให้กระทรวงมหาดไทย เร่งแก้ไขปัญหาการไร้สัญชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล จำนวน 550 คน
ต่อมาเวลา 10.30 น. มีงานเสวนาเรื่อง “รัฐธรรมนูญกับเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์” นายนิรันดร์ หยังปาน ผู้แทนชาวเลจากเกาะลันตา จ.กระบี่ กล่าวว่า ชาวเลควรมีเขตในการทำประมงที่ชัดเจนโดยรัฐต้องออกประกาศโดยสิ่งที่เราคาดหวังที่สุดคือกฎหมายที่จะออกมาให้เรามีที่ทำกินหรือให้เราออกไปหาปลาในน่านน้ำได้เพราะตอนนี้เหมือนถูกตีกรอบอยู่ตลอดเวลา
นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)กล่าวว่า มาตรการทั้งในระยะสั้นและระยะยาวยังไม่ได้มีการดำเนินการเลย เพราะมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่ให้การคุ้มครองยังไปไม่ถึง และมติครม.นี้ควรยกระดับเป็นกฎหมายเพื่อให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมกับกลุ่มชาติพันธุ์และชนพื้นเมือง ซึ่งทราบว่าขณะนี้มหาวิทยาลัยรังสิตกำลังร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและอนุรักษณ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้ความคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์หลายฉบับ ทำให้หน่วยงานราชการไม่กล้าเข้ามาแก้ไข ทั้งๆที่หากไม่มีชาวเลก็ไม่มีการกำหนดเขตทางทะเลให้ประเทศไทยกว้างขวางเท่านี้ เช่นเดียวกับเขตแดนตะวันตกที่กะเหรี่ยงช่วยไทยรบกับพม่าจนทำให้แผ่นดินไทยมีอาณาเขตขนาดนี้ ดังนั้นฝ่ายปกครองควรร่วมกันแก้ไขเพื่อให้ประชาชนอยู่กันอย่างมั่นคง ซึ่งได้มีการทำรายงานตั้งแต่ปี 2558 ว่าเขตวัฒนธรรมพิเศษควรทำอย่างไร
“อย่างกรณีที่ดินชุมชนราไวย์ชัดเจนว่าชาวเลอยู่มาก่อน ก็ควรเป็นพื้นที่ของเขา ท้องถิ่นและท้องที่ต้องจับมือกันช่วย เขตวัฒนธรรมพิเศษมีความจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อให้เขารักษาวัฒนธรรมไว้ได้ ผมฝันว่าที่ดิน 19 ไร่ของราไวย์ควรเป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ด้วย”พลเอกสุรินทร์ กล่าว
ที่มา ช่าวสดออนไลน์