พระอานนท์ให้กำลังใจ ผกก.โจ้ ถูกสั่งพ้นจากวัดภัทรสิทธาราม

พระอานนท์ถูกสั่งพ้นวัด
ภาพจาก ข่าวสด

วัดภัทรสิทธาราม ออกคำสั่งให้พระอานนท์พ้นจากวัด หลังให้กำลังใจ ผกก.โจ้

วันที่ 30 สิงหาคม 2564 ข่าวสด รายงานว่า พระครูปลัดวันชาติ วิชาโต เจ้าอาวาสวัดภัทรสิทธาราม ออกคำสั่งเจ้าอาวาสวัดภัทรสิทธาราม 1/2564 เรื่อง ให้พระอานนท์ พ้นออกจากวัดภัทรสิทธาราม ระบุว่า ด้วย พระอานนท์ ธมมชโชโต สังกัดวัดไพรสณฑ์ศักดาราม ต.หล่มสัก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ได้มาขอพักอาศัยเพื่อเข้าศึกษาปริญญาตรี ได้ตั้งแต่ปี 2563 ได้ปฏิบัติตนประพฤติผิดทางโลกวัชชะ

จึงเป็นที่ติเตียนไปทั่วคณะสงฆ์ที่ได้ออกเผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมาะสมกับสมณสารูปอันควรแก่การประพฤติ และได้ส่งผลกระทบต่อคณะสงฆ์โดยรวมในเขตพื้นที่ เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์ภายในวัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีงาม ดำรงไว้ซึ่งคุณงามแห่งสมณะนั้น

ดังนั้น จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พิจารณาให้พระอานนท์ ธมมโชโต (คนธาร์) สังกัดวัดไพรสณฑ์ศักดาราม ต.หล่มสัก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ พ้นออกจากวัดภัทรสิทธาราม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

พระอานนท์ให้กำลังใจผู้กำกับโจ้

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2564 พระอานนท์ ชนุมโชโต อายุ 62 ปี พระวัดภัทรสิทธาราม ต.นครสวรรค์ออก อ.เมืองนครสวรรค์ เดินทางมาที่กองบังคับการตำรวจนครสวรรค์ เพื่อให้กำลังใจ ผกก.โจ้ หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งมีพฤติการณ์ร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยการทรมานนายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต

ADVERTISMENT

โดยในวันดังกล่าว พระอานนท์เผยว่า ไม่ต้องการให้ ผกก.โจ้ฆ่าตัวตาย เพราะ ผกก.เป็นคนดี รู้สึกประทับใจที่ ผกก.คนนี้เป็นลูกผู้ชาย ได้ทำหน้าที่เป็นตำรวจไทย ดีกว่าบางคนที่โกงชาติ โกงบ้านเมือง โกงประชาชน เผาบ้านเผาเมืองไม่จบ

“ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำผิดที่รุนแรง แต่คนเราเกิดมาไม่ใช่มีใครดีเต็มร้อยทั้งหมด และก็ไม่ได้ชั่วเต็มร้อยไปเสียหมด และเมื่อวานได้ดูข่าว ก็เห็นบอกว่า ผกก.จะฆ่าตัวตาย แต่ได้ถูกผู้ใหญ่สั่งห้าม แล้วให้มามอบตัวแทน เขาก็มามอบตัว และยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว บอกลูกน้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังบอกว่า เหตุที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีเจตนา แต่เกิดจากการพลาด”

ADVERTISMENT

“อาตมามองว่า การทรมานผู้ต้องหา เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็รู้สึกเห็นใจคนตายในฐานะเป็นคน แต่ก็มองว่า ผู้ตายคือผู้ต้องหาค้ายาเสพติด ไม่ใช่เป็นผู้บริสุทธิ์ หาก ผกก.โจ้ ไปจับพ่อค้าแม่ขายปลาขายผักที่บริสุทธิ์หาเช้ากินค่ำเอามารีดไถแบบนี้ก็ไม่ใช่ ส่วนเรื่อง ผกก.โจ้ เขาจะรวยยังไง สุดท้ายมันก็คือเรื่องของเขา เป็นเทคนิคระหว่างบุคคล”

ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเชิญไปตรวจค้นตัวและบาตรพระที่นำมา ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติก่อนจะมีการเชิญตัวให้ออกจากกองบังคับการ เพื่อให้กลับวัด ตามรายงานของมติชน 

สำนักพุทธฯส่งหนังสือเตือน

ต่อมาในวันที่ 28 สิงหาคม 2564 มติชน รายงานว่า นายสิปป์บวร แก้วงาม รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะโฆษก พศ. กล่าวว่า นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการมายังนายณรงค์ ทรงอารมณ์ ผู้อำนวยการ พศ. ขอให้มีข้อสั่งการไปยังผู้อำนวยการ พศ.จังหวัดนครสวรรค์ ตรวจสอบรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว

รวมถึงประสานไปยังวัดต้นสังกัดของพระรูปดังกล่าวให้ตักเตือน เพราะถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ส่วนจะตักเตือนวิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับทางเจ้าคณะผู้ปกครองจะพิจารณาตามความเหมาะสม แต่จะต้องตักเตือนจะเพิกเฉยไม่ได้ เพราะถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

“การให้กำลังใจถือเป็นสิ่งที่ดี เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่สามารถกระทำได้ แต่ต้องดูที่ความจำเป็นและความเหมาะสม ซึ่งการที่พระอานนท์ไปให้กำลังใจ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เมื่อมีการไปออกสื่อทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ไปในแง่ต่าง ๆ นั้น ซึ่งแม้ไม่สามารถพูดได้ว่าผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และจำเป็นต้องตักเตือน” นายสิปป์บวรกล่าว

ประพฤติผิดทางโลกวัชชะ คืออะไร ?

พระมหาเจษฎา บัวบาล นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา เขียนบทความเรื่อง โลกวัชชะ : ใครคือผู้กำหนดพฤติกรรมที่เหมาะสมของพระ? ในเว็บไซต์ประชาไท “โลกวัชชะ” หมายถึงความผิดตามธรรมชาติ ซึ่งชาวโลกทั่วไปยอมรับกันอย่างสากลว่า เป็นการกระทำที่ผิด คือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่น ฆ่าคน ฉ้อโกง ละเมิดทางเพศ เป็นต้น

โลกวัชชะหรือปกติวัชชะ เป็นคำที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ปัณณัตติวัชชะ” ที่แปลว่า มีโทษตามพระวินัย กล่าวคือ เป็นพฤติกรรมที่ดูไม่เหมาะสมและเป็นความผิดตามพระบัญญัติทางศาสนา เช่น พระภิกษุฉันอาหารตอนเย็น แม้ถือเป็นเรื่องปกติในทางโลก ซึ่งปกติแล้วการกินอาหารตอนเย็นไม่ควรถูกตำหนิหรือถูกลงโทษ แต่เมื่อท่านเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ก็ถือเป็นความผิดทางพระบัญญัติ